ป.ป.ช.เตือน รบ.แก้ทุจริตจำนำข้าวก่อนผิด ม.157 อุปนายกฯชาวนาชึ้อุดช่องโหว่โกงได้แล้ว
ป.ป.ช.เตือนซ้ำ รบ.เร่งอุดช่องโหว่ทุจริตจำนำข้าว ก่อนผิดฐานละเลยหน้าที่ อุปนายกฯชาวนาระบุเกษตรกรไม่กล้าขึ้นทะเบียนลม-สวมสิทธิ์แล้ว ส่วนโรงสีโกงน้ำหนัก-ความชื้น มีกรรมการร่วมดูแล
วันที่ 4 ต.ค.55 นายวิเชียร พวงลำเจียก อุปนายกสมาคมชาวนาไทย เปิดเผยว่าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกก่อนหน้านี้ต้องยอมรับว่ามีจุดเสียงที่เปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามทั้งนักวิชาการและฝ่ายค้านนำไปเป็นข้ออ้างเดินหน้าเพื่อล้มโครงการใน 2 จุดใหญ่
ได้แก่ 1.การขึ้นทะเบียนลมของชาวนา ซึ่งขึ้นทะเบียนเกษตรกรไว้แต่ไม่ทำนาจริง หรือทำนาไม่เต็มตามที่แจ้งขึ้นทะเบียน และมีการรวบรวมรายชื่อทะเบียนลมไว้ที่โรงสีเข้าร่วมโครงการหรือนายหน้า พอมีการเปิดโครงการรับจำนำข้าว ก็หาข้าวเปลือกนอกระบบมาสวมสิทธิ์ตามทะเบียนลมดังกล่าว เพื่อจะได้นำข้าวเปลือกเข้าร่วมโครงการได้ราคาสูงกว่าท้องตลาด เงินส่วนต่างก็แบ่งกันระหว่าง โรงสี นายหน้า ชาวนา และเจ้าหน้าที่ยอมให้ขึ้นทะเบียนลม ซึ่งจุดนี้เป็นจุดเสี่ยงที่เปิดเผยซึ่งเป็นที่ทราบดีทั้งรัฐบาล กระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตร คณะกรรมการข้าวแห่งชาติ รวมถึงสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ตำรวจ และดีเอสไอ ซึ่งมีการเข้าตรวจสอบเพื่อปิดจุดเสี่ยงนี้แล้ว
นายวิเชียร กล่าวว่าปัจจุบันการโกงโดยขึ้นทะเบียนลม แทบจะไม่มีแล้วเพราะชาวนาทั่วประเทศกลัวติดคุกหรือได้ไม่คุ้มเสีย และก่อนหน้านี้อาจถูกหลอกเอารายชื่อไปขึ้นทะเบียน ซึ่งปัจจุบันชาวนากลัวและขึ้นทะเบียนตามที่ปลูกจริงหมดแล้ว การสวมสิทธิ์ในแบบนี้จึงเกิดขึ้นน้อยมากในปัจจุบัน
จุดเสียงที่ 2 ที่เกิดขึ้นและชาวนาถูกโกงจากโรงสีหรือพ่อค้าข้าวคือการโกงน้ำหนักและความชื้น โดยโรงสีจะใช้เล่ห์ชั่งน้ำหนักหรือวัดความชื้นโกง ทำให้เกิดส่วนต่าง และโรงสีได้รับประโยชน์ไป อาทิ การโกงในช่วงวัดความชื้นและสิ่งปลอมปน เช่น ชาวนาจำข้าวเปลือกคุณภาพความชื้นแท้จริง 10% ไปจำนำ จะถูกตัดความชื้นจุดหรือเปอร์เซ็นละ 200 บาท ซึ่งหากข้าวคุณภาพนี้ชาวนาจะถูกตัดเงินจริง 2,000 บาท/ตัน โดยราคาจำนำที่ 15,000 บาท ชาวนาจะได้เงินจริงแค่ 13,000 บาท/ตัน แต่หากโรงสีโกงความชื้น ก็จะแจ้งชาวนาว่าวัดความชื้นได้ที่ 20 % ชาวนาจะถูกตัดความชื้นเป็นเงิน 4,000 บาท/ตัน และจะได้เงินจริงเพียง 11,000 บาท/ตันเท่านั้น เงินส่วนต่าง 2,000 บาทก็เข้าระบบคนที่ต้องการโกง
อุปนายกสมาคมชาวนาไทย กล่าวอีกว่าปัจจุบันมีการปิดจุดเสี่ยงการโกงน้ำหนักและความชื้น โดยมีการตั้งกรรมการวัดความชื้นประจำโรงสีที่เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย โรงสี ตัวแทนเกษตรกร ตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตัวแทนตำรวจ ฝ่ายปกครอง เกษตรกรจังหวัด และชาวนาเอง และมีการตรวจสอบอุปกรณ์ ชั่ว ตวง วัด เป็นประจำ และล่าสุดตนได้เสนอไปยังคณะกรรมการข้าวแห่งชาติว่า ปกติที่โรงสีจะมีการวัดความชื้น 2 ครั้งเพื่อความถูกต้อง แต่เป็นการวัดความชื้นจากอุปกรณ์ชุดเดียวกัน จึงเสนอให้แต่ละโรงสีต้องมีอุปกรร์วัดความชื้น 2 ชุดเพื่อเพิ่มมาตรฐานการตรวจวัด
“ปัจจุบันการโกงทำได้ยากมาก เพราะมีหลายหน่วยงานตรวจสอบ รัฐบาลเองก็แสดงความจริงใจที่จะปิดช่องทุจริตด้วยการสร้างกลไกตรวจสอบทุกขึ้นตอน และจับกุมได้ทันหากมีการทุจริตเกิดขึ้น จึงเชื่อได้ว่าโครงการรับจำนำข้าวจะเดินหน้าต่อ เพราะจุดเสี่ยงต่างๆมีการแก้ไขป้องกันอย่างดีแล้ว”
วันเดียวกันที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยว่าหลังจากที่ ป.ป.ช.เคยทำหนังสือเตือนรัฐบาลเรื่องโครงการรับจำนำข้าวในภาพรวมว่าอาจมีปัญหาการทุจริต แต่รัฐบาลยังไม่ดำเนินการใดๆตามที่แนะนำ
ดังนั้น ป.ป.ช.กำลังรวบรวมผลวิจัยของศูนย์วิจัย ป.ป.ช.เพื่อต่อต้านการทุจริตที่อยู่ระหว่างเก็บข้อมูลการทุจริตจำนำข้าว เพื่อส่งให้รัฐบาลทบทวนอีกครั้ง โดยจะระบุชัดเจนว่าขั้นตอนใดบ้างของโครงการที่มีรูรั่วเสี่ยงต่อการทุจริต พร้อมกับข้อเสนอแนะ ซึ่งหากการเตือนครั้งนี้รัฐบาลยังไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำจนเกิดการทุจริตจำนำข้าวขึ้น ป.ป.ช.ก็จะพิจารณาว่าอาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้เห็นว่ารัฐบาลควรฟังคำเตือนของนายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่ออกมาเตือน
"เมื่อมีการเตือนแล้วนายกฯยังไม่ทำอะไร ไม่ได้เข้าข่ายผิดมาตรา 157 ทันที เพราะครั้งแรกเป็นหนังสือเตือนในภาพรวม แต่เมื่อส่งครั้งที่ 2 ที่มีการลงรายละเอียดแล้ว หากไม่มีการดำเนินการใดๆแล้วเกิดการทุจริตเกิดขึ้น ป.ป.ช.ต้องไปตรวจสอบว่าเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ และผู้ที่จะตรวจสอบจริงๆคือสภาผู้แทนราษฎร" นายวิชากล่าว .