นักวิชาการชี้อาคารในกรุงกว่าล้านหลัง ไม่ได้ออกแบบรับแผ่นดินไหว
อ.วิศวะ จุฬาฯ เผยผลสำรวจพบไทยมีรอยเลื่อนเสี่ยงเกิดแผ่นดินไหวกว่า 14 แห่ง หวั่นอนาคตเกิดภัยจริง เสียหายหนัก ขณะที่นักวิชาการด้านสื่อ เสนอโมเดลสื่อสารรับมือภัยพิบัติ ยึดหลัก 'ชัดเจน ถูกต้อง สมบูรณ์'
วันที่ 3 ตุลาคม สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม ร่วมกับศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาฯ และมูลนิธิ ดร.สุรพล สุดารา จัดการสัมมนาวิชาการ “การบริหารจัดการสาธารณะในภาวะวิกฤตจากภัยพิบัติธรรมชาติ” ขึ้นที่อาคารวิจัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี ศ.ดร.ปณิธาน ลักคุณะประสิทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านวิศกรรมแผ่นดินไหวและการสั่นสะเทือน คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ อ.ดร.สุภาพร โพธิ์แก้ว อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นวิทยากร
ศ.ดร.ปณิธาน กล่าวถึงความพร้อมของประเทศไทยในการเผชิญกับภัยแผ่นดินไหว แผ่นดินถล่ม ว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีความเสี่ยงต่อภัยพิบัติแผ่นดินไหวมากขึ้น เนื่องจากเมืองขยายตัวเข้าใกล้รอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลก ขณะนี้สำรวจพบว่าประเทศไทยมีรอยเลื่อนที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวกว่า 14 แห่ง ที่อาจก่อให้เกิดแผ่นดินไหวในระดับเล็กถึงกลางต่างกัน
"ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยก็ได้รับแรงสั่นสะเทือนจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่าและลาว จนทำให้อาคารบางแห่งในจังหวัดภาคเหนือมีรอยร้าวบ่อยครั้งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่อาคารจำนวนมากในประเทศไทยโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครกว่า 1 ล้านหลัง ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับแผ่นดินไหวตั้งแต่แรก ในอนาคตหากเกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรงเกินความหมาย ก็จะเกิดความเสียหายอย่างมาก เพราะประเทศไทยยังมีมาตรการรับมือกับภัยแผ่นดินไหวที่ด้อยประสิทธิภาพ"
ศ.ดร.ปณิธาน กล่าวอีกว่า มาตรการบรรเทาภัยพิบัติจากแผ่นดินไหว-แผ่นดินถล่ม ที่สำคัญ ได้แก่
1.การเตรียมความพร้อมของอาคารและโครงสร้างพื้นฐานของอาคารสำคัญสำหรับบัญชาการเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย เช่น ทำเนียบรัฐบาล ศูนย์บัญชาการตำรวจ-ทหาร ศาลากลางจังหวัด โรงเรียน โรงพยาบาล โรงไฟฟ้า สะพาน ต้องมีการประเมินความแข็งแรงและเสริมความแข็งแรงหากจำเป็น
2.การเตรียมความพร้อมระบบเพื่อการบรรเทาสาธารณภัย โดยต้องสำรวจสภาพของอุปกรณ์บำรุงรักษา สำรองอะไหล่ ย้ายระบบไฟฟ้าฉุกเฉินไปที่สูง เตรียมระบบโทรคมนาคมฉุกเฉิน และระบบไอทีสำรอง ระบบน้ำประปา
3.มาตรการด้านกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย ต้องมีการออกกฎหมายหรือปรับปรุงกฎหมายที่เอื้อต่อการปรับปรุงความแข็งแรงของอาคาร การออกแบบอาคารใหม่ต้องถูกต้องตามกฎกระทรวง รวมถึงคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้บริโภค เช่น ควรมีกฎระเบียบบังคับให้เจ้าของอาคารสาธารณะ เช่น คอนโดมิเนียม เปิดเผยแบบโครงสร้างอาคารแก่ผู้ซื้อ เพื่อป้องกันการก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน
ด้านดร.สุภาพร โพธิ์แก้ว กล่าวถึงการสื่อสารในภาวะวิกฤต ต้องมองเป็นองค์รวมในสามระยะ ซึ่งจะมีรูปแบบการสื่อสารที่แตกต่างกัน ได้แก่ การสื่อสารในระยะก่อนภัยพิบัติ เป็นการสื่อสารที่เน้นสร้างความรู้ที่เหมาะสมเพื่อให้ประชาชนเตรียมรับความเสี่ยงต่อภัยพิบัติ การสื่อสารระหว่างเกิดภัยพิบัติ เน้นการช่วยเหลือให้บรรเทาภัยพิบัติลงได้เร็วที่สุด และการสื่อสารระยะหลังภัยพิบัติ เป็นการสื่อสารเพื่อการพัฒนา
อาจารย์ด้านนิเทศศาสตร์ กล่าวขยายความถึงการสื่อสารระหว่างภัยพิบัติ ซึ่งมีความสำคัญที่สุดว่า ในภาวะวิกฤต การสื่อสารสาธารณะมักเกิดภาวะ “ล้นเกิน” และ “ขาดแคลน” ไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้นต้องมีระบบการบริหารจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ โดยอาจารย์ได้เสนอโมเดล “Public Safety หรือ การสื่อสารที่มีเป้าหมายคือความปลอดภัยร่วมกันในสังคม” ซึ่งมีลักษณะการทำหลายอย่างพร้อมกัน อาทิ การเปิดรับการสื่อสารจากหลายฝ่ายหรือการสนทนาร่วมกัน การใช้ประโยชน์จากเครือข่ายข้อมูลสารสนเทศ เช่น เครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเป้าหมายให้สาธารณะเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้เพื่อเอาไปใช้ประโยชน์ในการจัดการชีวิตและชุมชนของตนในภาวะประสบภัยพิบัติได้
ดร.สุภาพร กล่าวต่อว่า ที่สำคัญที่สุดคือ ข้อมูลข่าวสารที่สื่อสารในภาวะภัยพิบัติ ต้องสื่อสารในเวลาที่ถูกต้อง ทันเหตุการณ์ หรือมีคุณค่าของความเป็นข่าว เพราะแม้ข้อมูลจะดีแคไหน ถ้ามาช้าก็ไม่มีประโยชน์ โดยให้ยึดหลักข้อมูลข่าวสาร แบบ C C C คือ ชัดเจน (clear) ถูกต้อง (correct) และ สมบูรณ์ (complete)
สำหรับสื่อมวลชนบทบาทสการสื่อสารในภาวะวิกฤต ดร.สุภาพร กล่าวว่า มีความสำคัญมาก เพราะเป็นตัวกลางระหว่างรัฐที่มีหน้าที่จัดการแก้ไขภัยพิบัติกับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ โดยสื่อมวลชนต้องมีความเข้าใจในข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ อย่างกระจ่างแจ้ง ให้ข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง ให้ความรู้ถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและคำแนะนำต่าง ๆ รวมทั้งต้องขจัดข่าวลือด้วยข้อเท็จจริง โดยเฉพาะนักจัดการการสื่อสาร ไม่ควรให้คำว่า “ไม่มีความเห็น” หลุดออกจากปากโดยเด็ดขาด เพราะในสถานการณ์ภัยพิบัติ สาธารณชนจะอ้างว้างมากเมื่อได้ยินคำนี้ และนำไปสู่ผลเสียหลายอย่าง
กฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคารและพื้นดินที่รองรับอาคาร ในการต้านแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ.2550 ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 30 พ.ย. 2550
ที่มาภาพ : http://bit.ly/UaCeBp