กมธ.คมนาคม แนะปรับระบบราง ยกเครื่องร.ฟ.ท.-แอร์พอร์ตลิงค์ รับ AEC
'ชัชชาติ' ยัน 5 ปีระบบรางไทยถึงคุณหมิง รับติดขัดฝ่ายบริหาร-บุคลากร ด้านกมธ.คมนาคม แนะ ร.ฟ.ท.ตั้งบริษัทลูกพัฒนาที่ดิน แก้ปัญหาขาดทุน ค้านแปลงเป็นรัฐวิสาหกิจ หวั่นก่อหนี้ก้อนโต
วันที่ 26 กันยายน คณะกรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร จัดสัมมนา เรื่อง "ระบบราง : ปูทางสู่ AEC" ณ ห้องสารนิเทศ ชั้น 1 อาคารรัฐสภา 1 และนิทรรศการการแสดงผลงานของหน่วยงานต่างๆ ภายใต้สังกัดกระทรวงคมนาคม จำนวน 9 หน่วยงาน ที่บริเวณห้องโถงชั้น 1 อาคารรัฐสภา โดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาการคมนาคมระบบราง ในคณะกรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร
นายชัชชาติ กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีระบบรางแบบทั่วไปประมาณ 4,300 กิโลเมตร รถยนต์ขนส่งมีร้อยละ 84 ระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสและรถไฟฟ้าใต้ดิน 80 กิโลเมตร และเพิ่มให้เป็น 470 กิโลเมตร ภายใน 5 ปี ขณะที่รถไฟที่ใช้ขนส่งสินค้ามีร้อยละ 2.5 ซึ่งหากระบบการขนส่งที่เป็นเช่นนี้ต่อไปเมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) คงไม่สามารถเชื่อมต่อหรือแข็งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ จึงเป็นที่มาของโครงการรถไฟความเร็วสูง
" 3 ปีต่อจากนี้ ระบบรางจะเพิ่มมากขึ้น เช่น ในกรุงเทพฯ จะมีระบบรางรวมประมาณ 270 กิโลเมตร รวมทั้งจะมีการปรับปรุงหัวรถจักรใหม่ให้มีระบบที่ดีขึ้น เชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อย่างไรก็ตามยังไม่ตัดข้อห่วงกังวลเรื่องความคุ้มทุนและความปลอดภัยของโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง"
รมช.คมนาคม กล่าวอีกว่ ในอนาคตไทยจะต้องเชื่อมระบบรางรถไฟไปถึงคุณหมิง ประเทศจีนได้ภายในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสแก่ประเทศไทยในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะการท่องเที่ยว แต่ต้องยอมรับว่า ปัญหาระบบรางต่างๆ ของประเทศไทยอยู่ที่การบริหารจัดการ โดยเฉพาะบุคลากร รวมทั้งการกำหนดทิศทางการพัฒนาที่ถูกต้อง ทั้งนี้ การพัฒนาระบบรางไม่ได้ขึ้นอยู่กับรัฐบาลหรือรัฐมนตรีเพียงอย่างเดียว แต่ทุกคนต้องช่วยกันทำให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยที่หากมีการเปลี่ยนแปลงฝ่ายบริหารการพัฒนาระบบรางก็ยังต้องคงอยู่"
จี้ 'ยกเครื่อง' รถไฟ-แอร์พอร์ตลิงค์
ขณะที่ดร.สามารถ กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่อาเซียนจะต้องพัฒนาระบบรางให้เกิดการเชื่อมโยงเป็นโครงข่าย และเพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและลดก๊าซเรือนกระจก โดยขณะนี้ประเทศสมาชิกในอาเซียนต่างเชื่อมโยงกันด้วยรถไฟที่ใช้รางกว้าง 1.000 เมตร เริ่มจากสิงคโปร์ ผ่านมาเลเซีย ไทย กัมพูชา เวียดนามไปจนถึงคุณหมิงของจีน ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่อาเซียนจะต้องเปลี่ยนรางเป็น 1.435 เมตร เพราะต้องสิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาล ที่สามารถนำไปสร้างรถไฟสายใหม่ให้เชื่อมโยงถึงกันได้ดีกว่าเดิม เช่น เส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก เชื่อมดานัง-สะหวันนะเขต-มุกดาหาร-กาฬสินทร์-ขอนแก่น-เพชรบูรณ์-พิษณุโลก-แม่สอด-มะละแหม่ง และเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจเหนือใต้ เชื่อมเชียงของ-หลวงน้ำทา-เชียงรุ่งและคุณหมิง
เมื่อถามถึงระบบรถไฟไทย ดร.สามารถ กล่าวว่า ถึงเวลาที่ต้องช่วยกันยกเครื่องรถไฟไทย โดยการเร่งก่อสร้างรถไฟทางคู่และรถไฟสายใหม่ เช่น สายเด่นชัย-เชียงราย สายอุบลราชธานี-ช่องเม็ก สายภาชี-สุพรรณบุรี และสายชุมพร-ระนอง ทั้งนี้ การที่รถไฟความเร็วสูงจะเกิดขึ้นได้ต้องกู้เงินมาสร้างเท่านั้น จะหวังให้เอกชนมาร่วมลงทุนคงลำบาก เพราะโครงการนี้จะขาดทุน ดังนั้น หากสามารถแบกรับภาระการขาดทุนได้ก็เร่งสร้างรถไฟความเร็วสูงได้
"แนวทางในการแก้ปัญหาการขาดทุนรัฐบาลควรเร่งจัดตั้งบริษัทลูกของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อพัฒนาที่ดินของการรถไฟฯ ที่มีอยู่ถึง 234,976 ไร่ ที่จะทำให้เกิดรายได้มาบรรเทาหนี้สินของการรถไฟฯ ที่มีอยู่ถึง 110,000 ล้านบาทได้ แต่ผู้บริหารต้องเปลี่ยนความคิดเก่าๆ ที่ว่ารัฐบาลจะเลี้ยงดูเราเป็นเราจะต้องเลี้ยงดูตนเอง"
ดร.สามารถ กล่าวถึงปัญหาการขาดทุนของแอร์พอร์ตลิงค์ที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทรถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของการรถไฟฯ ด้วยว่า ควรจะเปลี่ยนคณะกรรมการบริษัททั้งหมด และตั้งใหม่โดยมีผู้แทนจากบริษัท การบินไทย (จำกัด) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ผู้แทนเอกชน ผู้แทนกระทรวงการคลังและผู้แทนจากการรถไฟฯ ซึ่งเป็นการแต่งตั้งในเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ใช่การแต่งตั้งแบบต่างตอบแทนหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกัน
"ไม่เห็นด้วยที่จะเปลี่ยนสถานะของบริษัทรถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เป็นรัฐวิสาหกิจ เพราะจะไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้สินได้ แต่กลับจะสร้างหนี้สินเพิ่มเติมขึ้นอีกมาก ท้ายที่สุด จะได้รัฐวิสาหกิจที่มีหนี้สินก้อนโตเพิ่มขึ้นอีกแห่งหนึ่งเท่านั้น"