“ปลอดประสพ” ยันปีนี้น้ำไม่ท่วม ผุดไอเดียตั้ง ‘ดรีมทีมด้านน้ำประเทศ’

ประธาน กบอ.โว จัดหนักพายุ 15 ลูก ปีนี้น้ำถึงท่วม ด้าน ดร.รอยล เผย 17-19 ก.ย.นี้ ภาคกลางฝนตกหนัก เฝ้าระวัง กทม.-ปริมณฑลเป็นพิเศษ 

วันที่ 17 กันยายน ที่สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) กล่าวภายหลังแถลงผลงานครบรอบ 1 ปีของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถึงสถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้ว่า เกิดจากกรณีที่น้ำฝนท่วมขังในทุ่งไหลลงสู่ลำน้ำ ต่างจากกรณีเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปีก่อน ที่น้ำจากลำน้ำเข้าท่วมทุ่ง และไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมทุ่งขนาดใหญ่ขึ้น

ดร.ปลอดประสพ กล่าวต่อว่า สถานการณ์ปีนี้พบว่าปริมาณฝนอยู่ในระดับที่น้อยกว่าปีก่อนถึง 20% และในปัจจุบันพื้นที่ภาคเหนือมีปริมาณน้ำอยู่ที่ 1,000 ล้าน ลบ.ม. ต่ำกว่าปริมาณน้ำในปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 8,000 ล้าน ลบ.ม. ถึง 8 เท่า ส่วนภาคกลางมีปริมาณอยู่ที่ 400 ล้าน ลบ.ม. ต่ำกว่าปริมาณน้ำปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 12,000 ล้าน ลบ.ม. ถึง 30 เท่า

“ขณะที่ปริมาณน้ำหลากที่ไหลผ่าน กทม.ลงสู่ทะเลพบว่าในปี 2554 มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 24,000 ล้าน ลบ.ม. ส่วนปีนี้มีปริมาณน้ำไหลผ่านเพียง 1,400 ล้าน ลบ.ม. หรือน้อยกว่าปีก่อนถึง 14 เท่า ด้านพื้นที่น้ำนองพบว่าในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน ปัจจุบันมีน้ำพื้นที่นอง 8.5 แสนไร่เท่านั้น ต่ำกว่าพื้นที่น้ำนองปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 3.5 ล้านไร่ ถึง 2 เท่าครึ่ง จ.พระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันมีพื้นที่น้ำนอง 15,000 ไร่ ต่ำกว่าปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 3 แสนไร่ถึง 20 เท่า นอกจากนี้ที่ อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย ปัจจุบันมีพื้นที่น้ำท่วม 1.6 แสนไร่เท่านั้น”

ส่วนในอีก 1 เดือนข้างหน้า ดร.ปลอดประสพ กล่าวว่า จะมีพายุเข้ามาบ้าง แต่เชื่อว่าจะไม่มีทางทำอันตรายประเทศไทยได้ เพราะว่ายังเหลือพื้นที่รับน้ำได้อีกประมาณ 10,000-15,000 ล้าน ลบ.ม. ขณะที่พายุ 1 ลูกสามารถนำน้ำเข้ามาได้ประมาณ 1,000 ล้าน ลบ.ม. หมายความว่าต้องไปหาพายุมาอีก 15 ลูกภายในระยะเวลา 1 เดือน ถึงจะทำร้ายประเทศไทยได้ ฉะนั้นปีนี้ไม่มีทางที่น้ำจะท่วม ไม่ต้องกลัวอะไรเลย เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ชนะ ตัวเลขดังกล่าวชี้แจงไว้ชัดเจน  แต่สิ่งที่ยากกว่าคือ การเอาชนะความเชื่อของประชาชน ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในรัฐบาลว่ามีความสามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องพูดความจริงกับประชาชนทุกวัน และต้องทำให้น้ำไหลลงสู่ทะเลโดยเร็วๆ ที่สุด ประชาชนจะได้ไม่ตกใจกลัว

นอกจากนี้ ดร.ปลอดประสพ ยังกล่าวอีกว่า ในขณะนี้มีแนวคิดที่จะตั้ง 'ดรีมทีมด้านน้ำของประเทศ' ขึ้นมา โดยในช่วงแรกอาจคัดเลือกคนหนุ่มสาวประมาณ 20-30 คนเข้ามาเพื่อรับรู้เรื่องการพัฒนา เรียนรู้เทคโนโลยี การบริหารจัดการน้ำวงเงิน 305,000 ล้านบาท เช่นเดียวกับสมัยที่เกิดอีสเทิร์นซีบอร์ดในไทยแรกๆ ทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่ก็ต้องมีการเรียนรู้กัน และในขณะนี้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้รับทราบถึงแนวคิดดังกล่าวแล้ว และก็เห็นด้วยอย่างมาก

ด้านนายรอยล จิตรดอน ประธานคณะอนุกรรมการติดตามวิเคราะห์สถานการณ์น้ำและจัดสรรน้ำ ในคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย(กบอ.) กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 17 - 19 กันยายนนี้ จะมีปริมาณฝนตกหนักในพื้นที่ภาคกลาง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำเป็นต้องมีการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ขณะนี้ปริมาณน้ำท่วมขังในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีประมาณ 400 ล้าน ลบ.ม. โดยจะมีการเร่งระบายน้ำออกด้วยการผันน้ำที่ท่วมขังไปทางด้านฝั่งตะวันออก บริเวณคลองระพีพัฒน์รอบนอก ผ่านประตูระบายน้ำจุฬาลงกรณ์ ลงคลองระพีพัฒน์แยกใต้ไปคลองรังสิต ลงแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้านทิศเหนือของกรุงเทพมหานคร ยังสามารถระบายน้ำได้อยู่ที่ 4,000 ลบ.ม.ต่อวินาที

ดร.รอยล กล่าวถึงสถานการณ์น้ำในเขื่อนด้วยว่า ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี เช่น เขื่อนภูมิพล รับน้ำได้อีก 6,000 ล้าน ลบ.ม. หรือรับพายุได้ 4-5 ลูก และมีการระบายน้ำเพียง 3 ล้าน ลบ.ม. เพื่อใช้น้ำท้ายเขื่อนทำน้ำประปา เขื่อนสิริกิติ์รับน้ำได้อีก 3,400 ล้าน ลบ.ม. หรือรับพายุได้ 2-3 ลูก คาดว่าวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ เขื่อนสิริกิติ์จะมีน้ำกว่าร้อยละ 80 บวกกับเขื่อนภูมิพล จะทำให้เพียงพอในการใช้อุปโภค-บริโภค ในหน้าแล้งปีหน้า ส่วนลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน ปีนี้มีปริมาณรวมกันอยู่ที่ 1,000 ล้าน ลบ.ม. ถือว่าไม่น่ากังวล เพราะปีก่อน 4 ลุ่มน้ำมีน้ำรวมกันสูงถึง 8,000 ล้าน ลบ.ม.

ขณะที่นายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เลขาธิการคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย(กบอ.) กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มน้ำยมปีนี้ว่า มีพื้นที่น้ำท่วมขังเพียง 850,000 ไร่ ถือว่าน้อยกว่าปีก่อนที่มีน้ำท่วมในทุ่งกินพื้นที่ถึง 3.9 ล้านไร่ พร้อมยืนยันปริมาณน้ำที่มีอยู่ในพื้นที่แก้มลิงกว่า 2 ล้านไร่บางจุด เป็นน้ำขังที่เกิดจากปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาไม่ใช่เกิดน้ำท่วม