แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
เอกชนฝาก 5 คำถามถึงธปท. หวั่นนโยบายการเงินมีความเสี่ยง
นักวิชาการชี้ อัตราแลกเปลี่ยนต้องเคลื่อนไหวมากกว่านี้ เพื่อรับแรงกระแทกให้กับระบบเศรษฐกิจที่อาจได้รับผลกระทบฉับพลัน และธปท.ควรสื่อสารนโยบายการเงินให้ดีขึ้น ด้านธปท.แนะเองควรทบทวนความเหมาะสมของกรอบนโยบายการเงินอย่างสม่ำเสมอ
วันที่ 12 กันยายน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนาในหัวข้อ "อนาคตนโยบายการเงินไทยจะไปทางไหน?" (Monetary Policy at Crossroads?) ณ ห้องประชุมชั้น 2 คณะเศรษฐศาสตร์ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิจากธนาคารแห่งประเทศไทย บริษัทหลักทรัพย์ และอาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ ร่วมเป็นวิทยากร
ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส ผู้อำนวยการสำนักนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าว ถึงเป้าหมายของนโยบายการเงินคือสนับสนุนให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง มั่นคง เต็มศักยภาพ โดยไม่ก่อให้เกิดแรงกดดันจากเงินเฟ้อหรือฟองสบู่ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยมีหน้าที่ดูแลเสถียรภาพ ส่วนการเติบโตของเศรษฐกิจ เป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลัง หรือสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สิ่งที่นโยบายการเงินดูแลมี 3 ด้าน 1. ให้เงินทุนไหลเข้าออกได้อย่างเสรี เพื่อจะได้ประโยชน์จากเงินทุนที่ดีที่เข้ามาในประเทศ 2.ให้อัตราแลกเปลี่ยนมีเสถียรภาพ และ3. ให้ดอกเบี้ยยังเป็นเครื่องมือที่สามารถจะใช้ได้ เพื่อสกัดฟองสบู่และดูแลอุปสงค์ในประเทศ
แต่ตามหลักเศรษฐศาสตร์ เราไม่สามารถได้ทั้งสามอย่างพร้อมกัน เราจึงต้องเลือกระหว่างอัตราดอกเบี้ยกับอัตราแลกเปลี่ยนว่า จะปล่อยให้อันไหนเคลื่อนไหวเป็นไปตามกลไกตลาด เพราะหากดำเนินนโยบายการเงินพร้อมกันในทั้ง 3 ด้านจะนำไปสู่จุดเสี่ยง หรือปัญหาในการดำเนินนโยบายการเงิน
ผอ.สำนักนโยบายการเงิน ธปท.กล่าวว่า ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา ไทยใช้นโยบายการเงินโดยยึดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ (inflation targeting) คือเป็นการใช้ดอกเบี้ยเป็นหลักเพื่อคุมเงินเฟ้อ ซึ่งมีลักษณะเน้นความโปร่งใสและความรับผิดชอบ มีการประกาศเป้าหมายเงินเฟ้อในแต่ละปีเป็นตัวเลขที่ชัดเจน
และว่า การที่ไทยเป็นประเทศเศรษฐกิจเล็กและเปิด (small and open economy) ) นั้น อาจทำให้ไทยไม่สามารถเป็นผู้กำหนดราคาขายในตลาดโลกได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าไทยจะเป็นผู้กำหนดราคาขายในประเทศไม่ได้ เมื่อไทยยังสามารถกำหนดราคาขายในประเทศได้ การใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อยังคงมีความเหมาะสมอยู่
ดร.รุ่งยอมรับอีกว่า ในอดีต ธปท. เคยเข้าแทรกแซงค่าเงินบาท แต่ทำไปเพื่อรักษาสมดุลทางเศรษฐกิจของประเทศ และธนาคารกลางที่มีผลขาดทุนก็ไม่ได้มีเฉพาะ ธปท.เพียงอย่างเดียว ธนาคารกลางประเทศอื่นก็มีงบดุลในลักษณะเดียวกับ ธปท.ด้วย ซึ่งบางประเทศยังเป็นลักษณะของการขาดทุนที่ต่อเนื่องยาวนาน แต่ตลาดก็ยังให้ความเชื่อมั่นอยู่
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา ธปท.ได้พยายามศึกษาแนวทางการลดผลขาดทุนเหล่านี้ลง อีกทั้งยังลดการเข้าแทรกแซงในตลาดเงินลง เพราะยอมรับว่าการปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวไปตามกลไกตลาดนั้น จะเป็นตัวช่วยลดแรงกระแทกวิกฤติที่อาจเกิดขึ้นจากต่างประเทศได้
สำหรับทิศทางนโยบายการเงินของไทยนั้น ดร.รุ่ง กล่าวว่า โดยพันธกิจเรายังคงต้องดูเสถียรภาพทางการเงิน และทบทวนความเหมาะสมของกรอบนโยบายการเงินอย่างสม่ำเสมอ เช่น ทบทวนอัตราดอกเบี้ย เพราะบริบททางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และที่สำคัญ สาธารณชนควรมีส่วนร่วมในการให้ความคิดเห็นได้ด้วย
ขณะที่ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อยากฝากให้ธปท.ไปศึกษากันต่อใน 5 เรื่อง 1. อัตราเงินเฟ้อไทยถูกกำหนดด้วยอะไรกันแน่ อัตราดอกเบี้ย การคาดการณ์เงินเฟ้อ หรือปัจจัยภายนอก 2. ประเทศไทยซึ่งเป็นเศรษฐกิจเล็กและเปิด การใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ 3. ผลของอัตราแลกเปลี่ยนต่อการคุมเงินเฟ้อ อะไรคือช่องทางในการส่งผ่าน 4. ธปท.สามารถควบคุมอัตราดอกเบี้ย พร้อมกับการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน และรักษานโยบายเปิดเสรีเงินทุนเคลื่อนย้ายได้จริงหรือไม่ และ 5. นโยบายการรับมือกับการเคลื่อนย้ายทุนจะทำอย่างไร
ดร.พิพัฒกล่าวอีกว่า ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แบงค์ชาติพยายามทำ 3 ตัวพร้อม ๆ กัน คือ เปิดเสรีเงินทุนเคลื่อนย้าย ดูแลค่าเงินบาท รวมทั้งใช้ดอกเบี้ยในการควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทของแบงก์ชาติยังส่งผลกระทบทำให้งบดุลของธปท.ขาดทุนเพิ่มขึ้น แล้วยังทำให้เศรษฐกิจของประเทศเปิดมากขึ้นด้วย ที่ผ่านมา การดูแลอัตราแลกเปลี่ยนของ ธปท.เป็นการเข้าดูแลในฝั่งเดียว คือ พยายามไม่ให้แข็งค่าเพิ่มขึ้นมากเกินไป
"เท่าที่ดูในขณะนี้ หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นในทุกๆ 1 บาท จะทำให้แบงก์ชาติมีผลขาดทุนทันที 2 แสนล้านบาท" นายพิพัฒน์กล่าว
แม้ขณะนี้ผลขาดทุนของธปท.นั้นยังไม่ส่งผลกระทบใด ๆ แต่หากผลขาดทุนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องก็มีความเสี่ยงที่จะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายอาจต้องให้กระทรวงการคลังต้องทำหน้าที่เพิ่มทุนให้กับธปท.
ด้านดร.พงศ์ศักดิ์ เหลืองอร่าม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการดำเนินนโยบายการเงินกรอบเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ พบว่า เงินเฟ้อจริงอยู่ในเป้าหมายค่อนข้างดีมาก อย่างไรก็ตามการตัดสินใจปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ผ่านมาค่อนข้างอยู่บนพื้นฐานของตัวเลขพยากรณ์ แต่ก็มีข้อดีตรงที่ความเป็นระบบ ทำให้คนสามารถทำนายทิศทางอัตราดอกเบี้ยได้
"การสื่อสารนโยบายการเงินของ ธปท. เป็นเครื่องมือหนึ่งในการดำเนินนโยบายการเงิน มีส่วนช่วยเสริมการส่งผ่านของนโยบายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในระยะหลัง ธปท. ค่อนข้างเปิดเผยถึงเหตุผลการตัดสินใจปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย ซึ่งตลาดการเงินจะให้ความสำคัญกับข้อประกาศนี้มาก จากการวัดการสื่อสารในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาในเชิงปริมาณ การสื่อสาร (statement) มีผลกับพันธบัตรในระยะยาวมากกว่าดอกเบี้ยระยะสั้น" อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าว และว่า การคาดการณ์เงินเฟ้อในรอบ 5-10 ปีที่ผ่านมา มีการตอบสนองต่อการเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยมากพอสมควร
นอกจากนี้ วิทยากรทั้งสามยังเห็นตรงกันว่า ควรให้อัตราแลกเปลี่ยนต้องเคลื่อนไหวมากกว่านี้ เพราะจะเป็นตัวรับแรงกระแทกให้กับระบบเศรษฐกิจที่อาจได้รับผลกระทบฉับพลันจากเหตุการณ์เช่นน้ำท่วม