ยังมีเวลาคิด 30 ปี รับมือ วิกฤติประชากร !
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ทางด้านประชากร สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น สวนทางกับสัดส่วนวัยแรงงานที่นับวันมีแต่แนวโน้มลดลง นี่คือความจริง
ตลอดระยะเวลา 42 ปีที่ผ่านมา (2513 – 2555) ประชากรไทยเพิ่มขึ้นถึง 30 ล้านคน จาก 34 ล้านคนในปี 2513 เป็น 64 ล้านคนในปี 2555
... แต่อีก 30 ปีข้างหน้า ประชากรรวมของไทยนอกจากไม่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังจะลดลงถึงครึ่งล้านคน
ขณะที่ประชากรวัยแรงงาน ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในช่วงที่ผ่านมา เมื่อปี 2513 อยู่ที่ 17 ล้านคน เพิ่มขึ้นมาเป็น 43 ล้านคนในปี 2555 พูดง่ายๆ 42 ปี ประชากรวัยแรงงานของไทย เพิ่มขึ้น 25 ล้านคน
...แต่อีก 30 ปีข้างหน้า ประชากรวัยแรงงาน จะลดลง และไม่ใช่น้อยๆ จะลดลงถึง 7.7 ล้านคน
มาดูตัวเลขประชากรวัยเด็กกันบ้าง เมื่อปี 2513 เรามีเด็กเยอะถึง 45% ของประชากรไทย นำมาซึ่งวัยแรงงานที่เพิ่มขึ้นตลอดมา
... แต่อีก 30 ปีข้างหน้า ประชากรวัยเด็กจะเหลือแค่ 15% หรือแค่ 8 ล้านคนเท่านั้น
ตอกย้ำด้วย สังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูอายุ (Aging society) แล้ว ดูจากตัวเลขผู้สูงอายุ เมื่อปี 2513 อยู่ที่ 1 ล้านคนเศษๆค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาเกือบ 10 ล้านคนในปี 2555
อีก 30 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุทะลุ 20 ล้านคน
จึงนับเป็นความท้าทายสำคัญที่วันนี้เราต้องหันกลับมาใคร่ครวญ เราจะตอบสนองความจริงนี้กันอย่างไร ในเมื่อความจริงเปลี่ยน และมีโจทย์ใหม่เพิ่มขึ้นมา
เร่งหาโมเดลศก.ใหม่
"เราจะนั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อน หรือคิดว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว บ้านนี้เมืองนี้ ประชาชนทั้งหลายในประเทศนี้ต้องช่วยกัน ตอบโจทย์ที่เกิดขึ้นใหม่ " กูรูด้านเศรษฐกิจ "โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์" กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ย้ำหนักแน่น บนเวทีระหว่างร่วมงานประชุมประจำปี 2555 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เมื่อเร็วๆ นี้
โจทย์ใหญ่ข้อแรกที่อาจารย์โฆสิต ชี้ให้เห็น คือ ภาพรวมของประเทศ ซึ่งในอดีตแบบจำลองทางเศรษฐกิจ (Growth Model) จะนำจำนวนคนที่เพิ่มขึ้น นำแรงงานที่เพิ่มขึ้น ไปบวกกับทุนต่างประเทศ บวกเทคโนโลยี และระบบตลาด จนทำให้เมืองไทยเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่ในเมื่อประชากร ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้ประเทศไทยเจริญเติบโตมากว่า 30 ปี นั้น จากนี้ไปจะไม่เพิ่มขึ้น ประเทศไทยยังจะใช้แบบจำลองทางเศรษฐกิจ แบบเดิมอยู่หรือไม่ ?
และหากไม่ใช้ สภาพัฒน์ฯ ผู้รู้ รวมถึงคนไทยทุกคน ก็ต้องระดมสมองช่วยกันคิดแบบจำลองทางเศรษฐกิจใหม่ออกมาให้ได้ว่า จะมีลักษณะอย่างไร
ว่าที่จริงแล้ว ประเด็นนี้เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่การพัฒนาประเทศให้เจริญเติบโตในอนาคตข้างหน้า จำเป็นต้องหาโมเดลแบบอื่นๆ มาทดแทน อีกทั้งทุกๆ การเกิด ทุกช่วงอายุ จำเป็นต้องมีคุณภาพ เหนืออื่นใดจะสำเร็จได้ต้องมีการลงทุนด้วย แต่ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลถนัดแต่ความคิดที่เป็นเชิงปริมาณ มาวันนี้ ไม่ได้แล้ว เราจะทำอย่างไรถึงจะเปลี่ยนความคิดจาก "ความคิดเชิงปริมาณ ไปเป็นความคิดเชิงคุณภาพ" ได้
ตัวอย่างความคิดเชิงปริมาณ ก็เรื่องของการลงทุน คิดถึงสร้างรถไฟความเร็วสูง แต่หากมีความคิดเชิงคุณภาพ เราต้องมีคำตอบให้ได้ว่า ทำอย่างไรให้รถไฟของไทยสะอาด สะดวก และตรงเวลา ไม่ตกราง ไม่ชนชาวบ้าน นี่ความคิดเชิงคุณภาพที่กูรูเศรษฐกิจหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง พร้อมๆ กับตั้งคำถามถึงงบฯ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้านบาท ได้มีประเด็นเชิงคุณภาพบ้างหรือไม่ ?
ทั้งๆ ที่ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทยมีการลงทุนด้านนี้มีมาตลอดจะมากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่มุมมอง แต่ที่ไม่มีเอาเสียเลย ก็คือ การลงทุนเชิงคุณภาพ เห็นได้จากบ้านเราลงทุนสร้างท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ แต่กลับไม่เคยลงทุนให้สุวรรณภูมิเป็นที่หนึ่งในอาเซียน เป็นต้น
"การลงทุนเรื่องของการศึกษา ถือเป็นการลงทุนเชิงคุณภาพที่สำคัญที่สุด และต้องทำให้ได้ 30 ปีข้างหน้า หากทำไม่ได้ ประเทศนี้เจ๊ง" อาจารย์โฆสิต ย้ำชัด
โจทย์ถัดมา "ภาระของประชาชนที่เพิ่มขึ้น" วัดจากปี 2555 ชายไทยอายุ 60 ปี หลังเกษียณต้องดูแลตัวเอง โดยไม่มีเงินเดือนต่อไปอีก 10 ปี ขณะที่หญิงไทยหลังเกษียณ อายุยืนกว่านั้น ต้องดูแลตัวเองต่อไปอีก 21 ปี
ภาระของประชาชนเพิ่มขึ้นเช่นนี้ ในฐานนายแบงก์ จึงเห็นว่า ประเทศไทยต้องคิดใหม่ในเรื่องของการออมทรัพย์ เพราะการออมทรัพย์ได้กลายเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับครัวเรือนไทยไปแล้ว
"หากไม่มีการออม คนไทยหลังเกษียณจะดูแลตัวเองได้หรือไม่ นโยบายดอกเบี้ยจะสนับสนุนแต่การลงทุนอย่างเดียว กดดอกเบี้ยต่ำสุดๆ ให้คนมีเงินออมไม่มีกำลังใจเช่นนั้นหรือ"อาจารย์โฆสิต ตั้งคำถาม เพื่อให้เห็นว่า นี่เป็นประเด็นที่ต้องคิดใหม่ เหมือนๆ กับการลงทุน
ถูกต้อง...ไม่ผิด นโยบายเหล่านี้เหมาะกับช่วงที่ประเทศไทยมีประชากร "ขาขึ้น" แต่เมื่อประชากรไทย "ขาลง" อีกทั้งอายุยืนขึ้นเรื่อยๆ การออมจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ยิ่งคนแก่เยอะ 10 ล้านคน กลายเป็นภาระที่รัฐบาลจำเป็นต้องนำรายได้ของคนทำงานไปดูแลคนเกษียณ นำเงินไปจัดสวัสดิการสังคม หากไม่มีการคิดใหม่ ทำใหม่ เรื่องนี้จะกลายเป็นประเด็นระหว่างรุ่น
ประเด็นเศรษฐศาสตร์ระหว่างรุ่น (generation economic) เช่น รุ่นที่กำลังทำงานอยู่ต้องมีรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อมีกำลังออม เสียภาษีผ่านกลไกของรัฐ ขณะที่รัฐนำเงินไปจัดสวัสดิการ หรือคนรุ่นนี้อาจไม่นำเงินภาษีมาจัดสวัสดิการสังคมก็เป็นได้ แต่เลือกใช้วิธีกู้ยืมเงิน โดยคนรุ่นหลังต้องใช้หนี้เงินกู้ เรื่องนี้อาจารย์โฆสิต บอกว่า กำลังกลายเป็นประเด็นที่สหรัฐฯ ดีเบต กันอยู่ว่า ใครถูก ใครผิด เนื่องจากคนที่ใช้หนี้และรับกรรม คือคนรุ่นต่อไป
วันนี้เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจ ความจริงเริ่มเปลี่ยน ความจริงทำให้เกิดโจทย์ แล้วแบบจำลองทางเศรษฐกิจของไทยจะเป็นอย่างไร ทำอย่างไรรัฐบาลถึงให้น้ำหนักการลงทุนเชิงคุณภาพ มากกว่าการลงทุนเชิงปริมาณ ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจด้วยความระมัดระวัง ไม่ใช่มองเพียงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น และทำอย่างไรคนไทยถึงจะสามารถรับภาระที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ได้
แม้คำตอบยังหาไม่ได้ในวันนี้ และอาจยังไม่ต้องตกใจ เพราะมีเวลาให้คิดอีกตั้ง 30 ปี
แต่หากทุกอย่างถูกจัดการแบบไม่ถูกต้องแล้ว ก็มีความเป็นไปได้มากว่า ความเดือดร้อนจะมาเร็วก่อนกำหนด