ชาวไทย และ รัฐบาลไทย พึงปกป้อง "ศักดิ์ศรี" ประเทศไทย ด้วย "ความจริง"

วันนี้ ผมมีแรงบันดาลใจอยากพูดถึงเรื่อง “ศักดิ์ศรี” ประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง...
... เมื่อมีอดีตผู้ใหญ่ของประเทศ ออกไปหลายๆประเทศ ทั้งจีน และ เกาหลีใต้ และ กล่าวหา “ประเทศไทย” ว่า ตนเป็น “เหยื่อการเมือง” ซึ่งแสดงว่า เป็นประเทศที่ไม่สัตย์ซื่อ ตัดสินคดีอย่างไม่เป็นธรรม ด้วยเป็นเพียง “เกมส์การเมือง”
...เมื่อรัฐมนตรีต่างประเทศละเลยเรื่องการปกป้องศักดิ์ศรีประเทศ ไม่มีการชี้แจงให้ความเป็นธรรมกับสังคม
...เมื่อศักดิ์ศรีของ “แชมป์โลก ในการส่งออกข้าว” ของไทย กำลังถูกสั่นคลอน โดยอินเดีย หรือเวียดนาม
...เมื่อศักดิ์ศรีของ “ประเทศประชาธิปไตย” ที่สะท้อนว่าอำนาจรัฐมาจาก “การเลือก” ของประชาชน ให้มาทำงาน “เพื่อประชาชน” เริ่มเป็นที่สงสัยว่า หรือเป็นเพียง เส้นทางสู่ “อำนาจ” เพื่อธุรกิจการเมือง
ผมขอเสนอความคิดเห็นในเรื่อง การปกป้อง “ศักดิ์ศรี” ประเทศไทย ดังนี้
- ศักดิ์ศรีแห่ง “นิติรัฐ” คือ รัฐที่มีกฎหมายพิทักษ์คนดี มีโทษกับคนผิด เรื่องราวของประเทศไทยเป็นที่สนใจทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวความวุ่นวายหลายๆครั้งที่เกี่ยวข้องกับการเมือง การที่อดีตผู้นำผู้ทรงอำนาจของประเทศ ถูกพิพากษาว่ามีความผิด ถึงขั้นถูกยึดทรัพย์ ย่อมเป็นที่ติดตามกันทั่วโลก
หากเกิดจาก “กระบวนการยุติความเป็นธรรม” เหมือนที่อดีตนายกฯกล่าวหาประเทศไทย ชาวโลกก็จะดูถูก เห็นว่าโลกศิวิไลซ์ถึงไหนแล้ว ยังใช้อำนาจทางการเมือง ใช้กระบวนการยุติธรรม สร้างความไม่ยุติธรรม เล่นงาน “เหยื่อการเมือง”
นี่เป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง หากมีใครใส่ร้าย ดูถูกพ่อแม่เรา เราก็อึดอัด และอยากชี้แจง
และหากมีใครใส่ร้าย ดูถูกแผ่นดินแม่ของเรา ในฐานะ “คนไทย” มี “หัวใจไทย” เรายอมรับไม่ได้ เราคงต้องร่วมกันปกป้อง “ศักดิ์ศรี” ของประเทศไทย
หน้าที่โดยตรง เรื่อง “ศักดิ์ศรี” ประเทศไทยต่อชาวโลก คือ รัฐบาล ผ่านกระทรวงการต่างประเทศ
ผมเองได้มีโอกาสศึกษาเนื้อหา คำพิพากษา “ยึดทรัพย์” ก็ประกอบด้วยข้อมูลมากมาย หลักฐานชี้ว่า มีการสร้างหนี้เท็จ จ่ายคืนปันผลกลับไปที่อดีตนายฯและภรรยา ขณะยังดำรงตำแหน่งนายกฯ ซึ่งอาจมีอำนาจกระทำการ หรือละเว้นกระทำการเพื่อเอื้อประโยชน์กิจการที่ “ถือ” และ “ซุกซ่อน” ไว้ได้ จึงมีความผิด
นับว่าเป็นการพิพากษา ที่ “โปร่งใส” “เที่ยงธรรม” และประกอบด้วย “เมตตาธรรม” อย่างยิ่ง จึงได้คืนเงินกลับไปให้อดีตนายกฯแล้วถึงประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากการโอนหุ้นก่อนหน้านั้น เป็นการโอนหุ้นจริงๆ ศาลไม่ได้ให้ความเป็นธรรม เมื่อคืนเงินแล้ว คุณพินทองทา ควรได้รับประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท คุณพานทองแท้ ควรได้รับประมาณ 9 พันล้านบาท คุณบรรณพจน์ควรได้ประมาณ 8 ล้านบาท และ คุณยิ่งลักษณ์ก็ควรได้เกือบๆ 1 พันล้านบาท แต่ก็ไม่มีข่าวว่า บุคคลเหล่านั้น จะได้รับการแบ่งคืนกลับไปเช่นนั้น
เมื่อศาลพิพากษาถูกต้องชอบธรรมว่า ทรัพย์เหล่านี้ เป็นของอดีตนายกฯอยู่ ก็ไม่น่าจะไปกล่าวกับประเทศอื่นๆว่า อดีตผู้นำเป็น “เหยื่อการเมือง”
การกล่าวหา ควรให้โอกาสชี้แจง และผู้ชี้แจงแทนประเทศไทย ควรเป็นรัฐบาลไทย
เราประชาชนคนไทยเป็นส่วนเล็กๆในสังคมไทย ก็ทำได้เพียงให้กำลังใจรัฐบาลที่จะทำหน้าที่เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของบ้านเมืองเรา
และผมก็ยังอยากยกระดับจิตใจคนไทยทุกคน เรื่องความยุติธรรม ต้องไม่ใช่เรื่อง “พวก” หรือเรื่อง “เหยื่อ” แต่ต้องตัดสินกันด้วย “หลักฐาน” และ “ความจริง” เราคนไทยจึงควรให้โอกาสเสมอ หากครอบครัวของอดีตนายกฯเห็นว่า ตนเป็น “เหยื่อ” ขอให้ส่งเนื้อหากลับมาบอกคนไทยให้ชัดว่า “เป็นเหยื่อตรงไหน ?” หลักฐานตามคำพิพากษา ไม่เป็นจริงตรงไหน ? ตั๋วสัญญาใช้เงินต่างๆ เป็นหนี้จริงหรือไม่ ? คืนเงินปันผลหรือไม่ ? และเราทุกคนควรพิจารณาให้ความเป็นธรรมเสมอ
- ศักดิ์ศรีแห่งความเป็น “แชมป์โลกในการส่งออกข้าว” ขณะนี้ การติดตามข่าวเรื่องการ “ส่งออกข้าว” ก็เริ่มมีมากขึ้น ผมเองเผอิญมีคนใกล้ชิด ทำเรื่องข้าวส่งออก หรือ บางคนทำธุรกิจโรงสีข้าว ก็กำลังลำบากกับปัญหาที่ราคารับจำนำข้าว สูงกว่าตลาดมากๆ ขณะนี้เริ่มเห็นรูปธรรมปัญหาหลายประการ และ สิ่งที่อาจจะกระทบต่อประเทศอย่างมีนัยสำคัญ คือ “ศักดิ์ศรีแชมป์ส่งออกข้าว” ซึ่งอาจจะเสียไปเป็นครั้งแรก ในรอบนับสิบปี ซึ่งนั่น อาจทำให้อำนาจของผู้นำในการขายข้าว หรือ ส่งออกข้าว อาจต้องสูญเสียไป
เรื่อง “ใหญ่” และ “มีความหมาย” ก็ย่อมเป็นเรื่องยากเป็นธรรมดา ปัญหาท้าทาย คือ ความหมายในการทำงาน
จะรักษากลไก ในกระบวนการขายข้าว และ ส่งออกข้าว อย่างไรให้เป็นกลไกที่แข็งแรง มีประสิทธิภาพ ? ทำอย่างไร คนไทยผู้บริโภคข้าวในฐานะแชมป์ส่งออกมาก่อนในราคาที่เป็นธรรม และไม่แพงเกินไป ไม่ใช่ต้องทานข้าวแพงกว่าชาวโลก ? ทำอย่างไร จะรักษาคุณภาพข้าว ไม่ทำให้ชาวนาเบี่ยงเบนไปปลูกแต่ข้าวที่คุณภาพต่ำได้ผลเร็วเท่านั้น ? หากมีต้นทุนข้าวสูงกว่าราคาตลาดโลกมากๆ ทำอย่างไรจะไม่ขาดทุนมาก ? จะต้องใช้ภาษีประชาชนมากเพียงใด ? ก็ล้วนแต่เป็นปัญหาท้าทายที่ชวนให้ติดตาม เรื่องใหญ่ๆอย่างนี้ ขอเป็นกำลังใจให้ด้วยครับ
- ศักดิ์ศรีแห่ง “ประเทศประชาธิปไตย” หัวใจสำคัญของประชาธิปไตย คือ “สื่อมวลชน ทำหน้าที่ พิทักษ์ ความจริง ให้กับประชาชน” ให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องอย่างเป็นธรรม การสื่อสาร ควรเน้นการสื่อสาร 2 ทาง ประเทศประชาธิปไตย เมื่อแก้ไขปัญหาเรื่องใหญ่ๆ จะพร้อมที่จะให้คนทำงานรายงาน คนตวรจสอบซักถาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการช่วยเหลือสถาบันการเงิน การขยายเพดานหนี้ภาครัฐ การใช้งบประมาณเพื่อสวัสดิการด้านสุขภาพประชาชน ฯลฯ มีการถามและตอบในเนื้อหา โดยผู้นำในรัฐบาล หรือหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
ประเทศไทยภายใต้รัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ถือเป็นรัฐบาลแห่งประชาธิปไตย สิ่งสำคัญคือ ให้เกียรติประชาชน พร้อมสื่อสาร 2 ทาง พร้อมให้ตรวจสอบ และพร้อมที่จะตอบ ผมว่า ก็จะทำให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับว่า มีศักดิ์ศรีเป็น “ประเทศประชาธิปไตย” อย่างแท้จริง
การที่ฝ่ายค้าน จะออกไปให้ข้อมูลกับประชาชนด้วยข้อมูลมีมุมหนึ่ง ก็ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะปล่อยให้มีใคร ไปรบกวน มันเสียศักดิ์ศรีผู้ปกป้องประชาธิปไตย ระบอบประชาธิปไตยนั้น ประชาชนมีเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลทุกด้าน และตัดสินใจเอง เมื่อปิดกั้น ไม่ให้รับข้อมูลฝ่ายค้าน ไม่ใช่ละเมิดสิทธิ์ฝ่ายค้านเท่านั้น แต่ละเมิดสิทธิ์ “คนไทย” อย่างมาก
“ศักดิ์ศรี” คนไทย เป็นของคนไทย มีค่าอย่างยิ่งต่อชีวิตเราทุกคนและลูกหลาน คนไทยทุกคน ที่มี “หัวใจเป็นไทย” จึงควรช่วยกันปกป้อง “ศักดิ์ศรี” แผ่นดินแม่ที่เรารักทุกคนครับ
