“ยิ่งลักษณ์” ฟื้นโอทอป ดันขึ้นห้างไทย-เทศ
“ยิ่งลักษณ์” เดินสายฟื้นนโยบายโอทอป ดันขึ้นห้าง ผลักดาวเด่นสู่สากล หนุนจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา
วันที่ 20 ส.ค. 55 ที่อาคารชาเลนเจอร์ ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงาน “โอทอป มิดเยียร์ 2012 สู่ประชาคมอาเซียน” ว่าโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (โอทอป) เป็นการทำงานต่อเนื่องจากรัฐบาลสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งได้ดำเนินการเพื่อให้ผู้ประกอบการมีอาชีพเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว เรียนรู้แนวทางผลิตสินค้า และรู้จักนำภูมิปัญญาท้องถิ่นในชุมชนมาก่อเกิดเป็นผลิตภัณฑ์เชิงอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน โดยตลอดเวลา 10 ปีมีรายได้และจำนวนผู้ประกอบการเพิ่มสูงขึ้น
โดยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการในการต่อยอดผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น การส่งเสริมผู้ประกอบการ รวมถึงการน้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถภายใต้โครงการศิลปาชีพ ซึ่งพระองค์อยากเห็นคนไทยนำภูมิปัญญาที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ สั่งสมมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษต่อยอดและเป็นต้นแบบการทำงานที่ประณีต
“ตนได้เดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้ง หลายประเทศพูดตรงกันว่าไทยมีความประณีตในการทำงานฝีมือมาก โดยเฉพาะฝีมือแรงงาน ดังนั้นถ้าถามหางานประณีตต้องมาหาจากไทย นี่คือความภูมิใจ”
สำหรับการต่อยอดการส่งเสริมสินค้าโอทอปให้ก้าวไกลสู่สากลและสามารถสร้างรายได้ยั่งยืนนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลายชุมชนมีร้านค้าประจำท้องถิ่นอยู่แล้ว ฉะนั้นเราจะทำอย่างไรให้สามารถขยายช่องทางการจำหน่ายจากชุมชนเป็นจังหวัด ประเทศ และภูมิภาคอาเซียนได้ จึงจำเป็นต้องเพิ่มช่องทางการตลาดหลายวิธี เช่น การขอความร่วมมือจากศูนย์การค้าต่าง ๆ เพื่อเปิดพื้นที่สำหรับวางจำหน่ายสินค้าโอทอปให้รู้จักกว้างขวาง ส่วนการขายสินค้าผ่านสื่อออนไลน์ รัฐบาลจะร่วมกับกระทรวงพาณิชย์บูรณาการช่องทางการจัดจำหน่ายให้กับร้านค้าต่าง ๆ โดยนำผู้ซื้อมาเจอกับผู้ขาย วันหนึ่งสินค้าไทยจะได้โดดเด่นอยู่บนศูนย์การค้าต่างประเทศสักครั้ง
นอกจากนี้รัฐบาลยังส่งเสริมการพัฒนาฐานข้อมูล เพราะหากเรามีฐานข้อมูลที่ดี ผู้ซื้อจะสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้ นั่นคือประโยชน์และคุณค่าในการจัดซื้อสินค้าต่าง ๆ ที่สำคัญต้องมุ่งเน้นการพัฒนางานวิจัย รวมถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและให้คำปรึกษาการทำธุรกิจ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวอีกว่า การพัฒนาสินค้า คุณภาพสินค้าและการขยายการตลาดนั้นจะครอบคลุมโอทอป 4 กลุ่ม คือ 1.ดาวเด่นสู่สากล เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและผลิตได้จำนวนมาก ซึ่งสามารถขายและส่งออกได้ รัฐบาลจะส่งเสริมการจดทรัพย์สินทางปัญญา การพัฒนาความรู้ด้านการทำธุรกิจ การออกแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงของผู้ซื้อ 2.งานฝีมือคุณภาพสูง เป็นผลิตภัณฑ์ใช้ฝีมือเป็นพิเศษ อาจไม่สามารถทำในเชิงปริมาณได้ แต่มีคุณภาพทางด้านภูมิปัญญาและความละเอียดอ่อนของงาน ถือว่าเป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงคุณภาพและภูมิปัญญาในการน้อมนำโครงการศิลปาชีพมาเป็นแนวทางในการพัฒนา เน้นการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้า การถ่ายทอดเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ต่าง ๆ 3.สินค้าเชิงปริมาณและขยายกำลังการผลิตได้มาก โดยวางกลยุทธ์การใช้เทคโนโลยีหรืออุตสาหกรรมเครื่องจักร เพื่อให้ขยายปริมาณการผลิตมากขึ้น และ4.สินค้าทำง่ายมีผู้ผลิตน้อย จะส่งเสริมให้เกิดจุดเด่นและแตกต่างในสินค้าแต่ละชนิด เราจะส่งเสริมจับคู่ชุมชนกับบริษัทใหญ่ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ในการมีส่วนร่วมในกระบวนการผลิต
ด้านผู้ประกอบการอย่างนางธารารัตน์ ศรีจันทร์ดี ผู้ช่วยผจก.วิสาหกิจชุมชนชีววิถีตำบลน้ำเกี๋ยน อ.ภูเพียง จ.น่าน กล่าวว่า กลุ่มเริ่มก่อตั้งเพื่อผลิตสินค้าที่ปลอดสารเคมีใช้ในชุมชนด้วยเงินตั้งต้นจากสมาชิก 79 คน เพียง 5 หมื่นบาท แต่เมื่อรัฐบาลให้การส่งเสริมผลิตภัณฑ์สู่ตลาดสากล ทำให้การพัฒนาสินค้าหลากหลายมากขึ้น เช่น สบู่ แชมพู ครีมอาบน้ำ ซึ่งเน้นส่วนผสมสมุนไพรในอัตราส่วนที่มากกว่าสารเคมีภัณฑ์ สร้างรายได้ให้ชุมชน จนขณะนี้มีสินทรัพย์กว่า 1 ล้านบาท จากสมาชิกที่เพิ่มขึ้น 317 คน อีกทั้งบริษัท เซนต์บิวตี้คอสเมติก (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ไบโอเวย์ เนเจอรัล (ประเทศไทย) จำกัด ยังร่วมกับรัฐบาลในการรับซื้อสินค้าจากกลุ่มไปจำหน่ายด้วย ทำให้เปิดตลาดให้กับสินค้าได้อย่างดี
ขณะที่นางกนกวรรณ ถิตย์เจือ เลขานุการกลุ่มทอผ้าไหมมัดหมี่บ้านโนนชาด อ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ผ้ามัดหมี่เบญจลักษณ์เป็นสินค้าขึ้นชื่อของจ.กาฬสินธุ์ ประกอบด้วยลาย 5 สี ได้แก่ สีขาว หมายถึงความใสสะอาดของชุมชน สีเหลือง หมายถึง ความศรัทธาในพระพุทธศาสนา สีแดง หมายถึง ความสามัคคี สีเขียว หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ และสีดำ หมายถึง ความอมตะยั่งยืน ซึ่งได้รับความร่วมมือจากสมาชิกในชุมชน 43 คน จนทำให้รายได้กลุ่มเติบโตจากเดิม 3 หมื่นบาท เป็นหลายแสนบาทในระยะเวลา 12 ปี ซึ่งต้องขอบคุณรัฐบาลที่ให้แหล่งเงินทุน รวมถึงวิทยากรช่วยพัฒนาลายผ้า สี และช่องทางการตลาด โดยกลุ่มคาดหวังว่าอนาคตศูนย์การค้าชื่อดังจะเปิดพื้นที่สำหรับการจัดแสดงสินค้าด้วย
ทั้งนี้งานโอทอป มิดเยียร์ 2012 จัดขึ้นระหว่างวันที่18–26 ส.ค.ที่อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี.
ขอบคุณภาพ :http://www.posttoday.com