แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
โฆสิต ชี้ไทยเข้าสู่บริบทสูงวัยแต่รายได้น้อย ขึ้นชื่อ “แก่ก่อนรวย”
อดีตรองนายกฯ ระบุโครงสร้างประชากรเป็นเรื่องใหญ่ ต้องใส่ใจก่อนวางนโยบาย เผยประชากรไทยจะลดลง ส่งผล ขนาดประชากร-ขนาดแรงงาน-การออมทรัพย์ ย้ำเร่งสร้าง Growth Model สร้างคนเน้นคุณภาพ ไม่ก่อหนี้เป็นภาระลูกหลาน
วันที่ 17 สิงหาคม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกับ กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “ร่างแผนพัฒนาประชากรในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2555-2559) ณ ห้องกมลทิพย์ บอลรูม โรมแรมเดอะสุโกศล โดยมี นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาหัวข้อเรื่อง “การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรและแนวทางการพัฒนาประเทศในอนาคต”
นายโฆสิต กล่าวว่า เรื่องโครงสร้างประชากรเป็นเรื่องที่ใหญ่และสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ใหม่ที่ไม่อาจละเลยได้และเป็นจุดสำคัญที่จำเป็นต้องนำมาพิจารณาเป็นลำดับแรก ก่อนที่จะนำไปสู่แผนอื่นๆต่อไป ทั้งนี้ จากสำมะโนประชากร ปี 2553 พบว่า จำนวนประชากรของประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 66 ล้านคน โดยไส้ในของคนจำนวนนี้ มีคนต่างด้าวที่เข้ามาทำงานกว่า 2.1 ล้านคน นั่นหมายถึงเรามีการพึ่งพิงแรงงานต่างด้าวเป็นจำนวนมาก และข้อมูลสำคัญที่พบคือ สังคมไทยอยู่ในขอบข่ายของสังคมสูงวัย ที่ผิดลักษณะ เนื่องจากหลายประเทศที่อยู่ในบริบทเดียวกันจะมีรายได้ต่อหัวต่อคนค่อนข้างสูง ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างต่ำ จึงทำให้ไทยขึ้นชื่อว่า “แก่ก่อนรวย”
สำหรับผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรนั้น อดีตรองนายกฯ กล่าวว่า มีผลกระทบต่อการ พัฒนาประเทศอย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง โดยเฉพาะ 3 เรื่อง ได้แก่ 1.ขนาดตลาด เนื่องจากประเทศไทยกำลังเข้าสู่ระยะที่ จำนวนประชากรหรือผู้บริโภคไม่เพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้ตลาดภายในประเทศมีข้อจำกัด และก้าวสู่จุดที่ขนาดตลาดไม่ เปลี่ยนแปลง และคาดว่าในปี 2557 ขนาดตลาดจะลดลงในที่สุด
“2. ขนาดแรงงาน ในเมื่อประเทศไทยมีแรงงานกว่า 2.1 ล้านคน ทำให้เกิดความไม่แน่นอนว่าจะแรงงานเหล่านี้จะอยู่ต่อ มีจำนวนเพิ่มขึ้น หรือกลับบ้าน และต้องยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถประมาณได้ เนื่องจากที่นี่ไม่ใช่บ้านเกิดจึงไม่มีแรงจูงใจมากพอที่จะทำให้คนเหล่านี้อยู่ตลอดไป และสมมุติว่าคนเหล่านี้กลับบ้านเกิดไปครึ่งหนึ่ง นั่นหมายถึงประชากรไทยก็หายไปกว่าล้านคน” นายโฆสิต กล่าวและว่า ฉะนั้นแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องรู้ก่อนที่จะมีการวางนโยบาย เพราะหาขนาดตลาดและขนาดแรงงานของเราลดลง นั่นหมายถึงจุดขายใหญ่ สิ่งจูงใจนักลงทุน กำลังจะหมดไป
นายโฆษิต กล่าวถึงผลกระทบที่ 3. คือการออมทรัพย์ เนื่องจากเมื่อคนเรามีอายุยืนขึ้น ความต้องการในการออมทรัพย์เพื่อเลี้ยงดูตัวเองหลังวัยทำงานย่อมมีมากขึ้น ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องมีรายได้สูงขึ้นหรือได้รับเงินเดือนสูงขึ้นเพื่อให้มีปริมาณการออมเพียงพอที่จะดูแลตัวเองได้ตามสมควร ดังนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเราจึงจำเป็นต้องมีการสร้างความเข้าใจในเรื่องนี้ กันใหม่ โดยมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องหาทางออก หรืออาจเป็น Growth Model ของประเทศที่มีบริบทของวัย สูงอายุ
“เมื่อคนหนุ่มมีน้อยและมีคนแก่มากขึ้น เราจะทำให้อย่างไรให้ทุกคนเข้มแข็ง สิ่งหนึ่งคือเราต้องสร้างคนให้ตรงกับการผลิต เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ นอกจากนี้ คนชาติเราที่อยู่ในวัยทำงานจะลดลง ฉะนั้นจำเป็นต้องหาวิธีว่าจะทำอย่างไรที่ จัดสวัสดิการให้มีความยั่งยืน โดยกลับไปดูว่าเงินที่เรากำลังใช้ทุกวันนี้เราหามาได้เอง หรือเอาของลูกหลานมาใช้ เพราะใน อนาคตผู้ที่รับภาระก็คือลูกหลาน ดังนั้นเรื่อง Intergeneration Issue หรือความรับผิดชอบของมนุษย์แต่ละรุ่นนั้นสำคัญ มากต้องระวัง เพราะเหล่านี้เกิดมาจากการมีหนี้ ทั้งนี้เรื่องนี้เป็นเรื่องระยะยาว ซึ่งถ้าเรามองสั้น ตื้น และแคบเราจะไม่รอด รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจึงต้องมองยาว กว้างและลึก”
นายโฆสิต กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาเราไม่สามารถหา Growth Model ไม่ได้ เนื่องจากปัญหาโครงสร้างประชากร ฉะนั้นต้องเข้าใจใหม่ต้องหาโมเดลใหม่ ซึ่งต้องมี 2 โครงสร้าง คือ 1.โครงสร้างของเอกชนที่เข้มแข็ง คือต้องแข่งขันได้และมีเงินออม และ 2.โครงสร้างที่มีประชานิยมภายใต้กรอบจำกัด ที่จะไม่สร้างปัญหา Intergeneration และไม่ทำลายคุณภาพของประชากร
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับทิศทาง (ร่าง) แผนพัฒนาประชากรในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 (พ.ศ.2555-2559) นั้น มีสาระสำคัญภายใต้วิสัยทัศน์ “ประชากรไทยทุกคนเกิดมามีคุณภาพ ได้รับการพัฒนาทุกช่วงวัยให้สามารถเป็นพลังในการขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของประเทศ มีหลักประกันที่มั่นคงพร้อมเข้าสู่สังคมสูงอายุที่มีสวัสดิการทางสังคมอย่างยั่งยืน” โดยเน้นยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อน 3 เรื่อง ได้แก่
1.การส่งเสริมให้ประชากรไทยทุกคนเกิดมามีคุณภาพพร้อมที่จะพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพเมื่อเติบโตขึ้น โดยมุ่ง ส่งเสริมอนามัยเจริญพันธุ์ที่ดีในกลุ่มประชากรทุกช่วงวัย และส่งเสริมประชากรไทยที่มีความพร้อมให้มีบุตรเพิ่มขึ้น
2.การพัฒนาคุณภาพประชากรไทยทุกช่วงวัยเพื่อเป็นพลังต่อการเจริญเติบโตของประเทศ โดยมุ่งพัฒนาการด้านการเรียนรู้ คุณธรรม จริยธรรม อย่างต่อเนื่องและเชื่อมโยงในทุกช่วงวัย เพื่อให้มีชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถพึ่งพาตนเองได้ และปรับตัวเพื่อรับโอกาสและพัฒนาภูมิคุ้มกันตนเองต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคมภายในและภายนอกประเทศได้ทันการณ์
3.การเตรียมพร้อมประชากรไทยสู่สังคมสูงอายุที่มีสวัสดิการทางสังคมอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเตรียมความพร้อมให้กับประชากรไทยทั้งด้านปัจเจกให้สามารถพึ่งตนเองได้หลังวัยทำงานและเตรียมความพร้อมด้านระบบการออมและระบบสวัสดิการสังคม เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิต
สำหรับการประชุมครั้งนี้เป็นการระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ซึ่ง สศช. จะนำความเห็นที่ได้จากการประชุมไปปรับปรุงร่างแผนพัฒนาประชากรฯ ให้มีความครบถ้วนและสมบูรณ์มากขึ้น ก่อนนำเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบในเดือนกันยายนต่อไป