ศาสนกิจสิบวันสุดท้ายรอมฎอน สิ่งที่รัฐพึงเข้าใจ
ส่งท้ายเดือนรอมฎอนอันประเสริฐ ฮิจเราะห์ศักราชที่ 1433 กันด้วยบทความของ อาจารย์นิมุ มะกาเจ ผู้ทรงคุณวุฒิจังหวัดยะลา ผู้นำศาสนาที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เป็นบทความเกี่ยวกับศาสนกิจช่วง 10 วันสุดท้ายของเดือนรอมฎอน เพื่อสร้างความเข้าใจในศาสนวิถีของพี่น้องมุสลิมชายแดนใต้ โดยเฉพาะกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่มาจากต่างถิ่น และผู้ที่นั่งกำหนดนโยบายอยู่ในส่วนกลาง
"ปีนี้จุฬาราชมนตรีประกาศให้มุสลิมในประเทศไทย นับวันที่ 20 ก.ค.2555 เป็นวันที่ 1 เดือนรอมฎอน ฮ.ศ.1433 ให้มุสลิมเริ่มถือศีลอด ฉะนั้น 10 วันสุดท้ายของเดือนรอมฎอนจึงนับตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค.2555 เป็นต้นไป เมื่อประกาศผลการดูดวงจันทร์จะเป็นวันอีด (ฮารีรายอ อิดิ้ลฟิตริ)
การถือศีลอดและปฏิบัติศาสนกิจในช่วง 10 วันสุดท้ายนี้จะมีความเข้มข้นทั้งกลางวันและกลางคืน (โดยเฉพาะกลางคืน) มีหลายๆ กิจกรรม หากองค์กรของรัฐและหน่วยความมั่นคงไม่เข้าใจและไม่ทราบหลักปฏิบัติของชุมชนมุสลิมอาจจะนำไปสู่การจับผิดและอาจจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวนำไปสู่ความรุนแรงได้
ในขณะเดียวกันผู้ที่คิดร้าย (ส่วนน้อยของชุมชน) อาจจะฉวยโอกาสช่วงนี้สร้างสถานการณ์ได้เช่นกัน
หลักปฏิบัติช่วงท้ายของเดือนรอมฎอน ประกอบด้วย
1.การเอี๊ยะติกาฟ หมายถึง การพำนักอยู่ในมัสยิดโดยมีเจตนาปฏิบัติศาสนกิจต่ออัลลอฮ์เจ้า เพื่อปลดปล่อยตัวเองให้หลุดพ้นจากความสับสนวุ่นวายในสังคม เป็นการขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์
2.ช่วงการเอี๊ยะติกาฟ 10 วันนี้ มีหนึ่งคืนที่สำคัญที่สุด เรียกว่า "ไลลาตุ๊ลก๊อดริ" เป็นคืนที่จำเริญยิ่ง การทำความดีในคืนนี้มีคุณค่าเทียบเท่า 1,000 เดือน (83.33ปี)
ในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะมีหลายมัสยิดจัดกิจกรรมดังกล่าว แต่ที่มีชื่อเสียงมีอยู่ไม่เกิน 10 แห่ง เช่น ที่มัสยิดอิบาดุรเราะมาน บ้านปูยุด อ.เมืองปัตตานี ภายใต้การอำนวยการของ อาจารย์ ดร.อิสมาแอลลุตฟี จะปะกียา และมัสยิดศูนย์ดาวะฮ์ยะลา เพราะมีการจัดการอย่างเป็นระบบ ทั้งให้ความรู้ด้านวิชาการ การปฏิบัติศาสนกิจ และระบบสาธารณูปโภค
ทั้งสองแห่งนี้จะมีผู้ไปร่วมไม่ต่ำกว่าหมื่นคนจากทุกจังหวัด และผู้คนทุกสาขาอาชีพ แม้แต่ข้าราชการมุสลิมก็ยอมใช้สิทธิลาพักร้อนในช่วงนี้
3.การละหมาดช่วง 10 วันสุดท้ายจะมีอยู่ 2 ช่วงที่สำคัญคือ
ละหมาดตะรอเวี๊ยะ ตั้งแต่เวลาประมาณ 19.30 -20.30 น. (ความเป็นจริงการละหมาดดังกล่าวกระทำมาตั้งแต่ต้นเดือนรอมฎอน แต่จะเข้มข้นมากขึ้นในช่วง 10 วันสุดท้าย ถูกบัญญัติให้ละหมาดรวมกันเป็นญะมาอะฮ์ หมายถึงรวมกันที่มัสยิด)
ละหมาดตะฮัจยุด ตั้งแต่เวลาประมาณ 02.00 น.ถึง 04.30 น. (ช่วงกลางดึกถึงรุ่งอรุณ) ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา จะไปละหมาดและปฏิบัติศาสนกิจในมัสยิดอีกครั้งหนึ่ง การละหมาดทั้งสองช่วงจะมีผู้คนมากที่สุดในคืนที่ 27 ของเดือนรอมฎอน
4. การจ่าย "ซะกาตฟิตเราะฮ์" (ทานบังคับ) คือ ซะกาตที่จำเป็นจะต้องจ่ายอันเนื่องมาจากหมดภาระถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ซึ่งจำเป็นแก่มุสลิมทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ชายหรือหญิง เพียงแต่ผู้จ่ายนั้นจะต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว และผู้อุปการะผู้อื่น โดยจ่ายเพื่อตัวเขาและเพื่อคนที่อยู่ในครอบครัวทุกคน รวมทั้งคนที่ต้องรับผิดชอบด้วย
สำหรับปริมาณที่ต้องจ่าย คนละ 1 ศออฺ (ในภาษาอาหรับ) หรือประมาณเกือบ 4 ลิตรของอาหารหลักในท้องถิ่นนั้นๆ เช่น ในประเทศไทยคือข้าวสาร เป็นต้น โดยจะจ่ายให้คนยากจนหรือให้เจ้าหน้าที่เก็บซะกาตของมัสยิดก็ได้ เพื่อจะได้แจกจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิ์รับซะกาตต่อไป
เพราะฉะนั้นจะเห็นชาวบ้านจำนวนมากออกจากบ้านในคืนสุดท้ายหรือช่วงเช้าของวันอีด (ฮารีรายอ) ไปหาคนยากจนหรือเจ้าหน้าที่มัสยิด
5.ภารกิจมุสลิมวันอีด (ฮารีรายอ) เมื่อสำนักจุฬาราชมนตรีประกาศกำหนดวันอีดชัดเจนแล้ว มุสลิมจะมีหลักปฏิบัติดังนี้
- กล่าวตักบีร (สรรเสริญความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า) เมื่อมีการประกาศกำหนดวันอีดแล้ว มุสลิมทั้งชายและหญิงควรกล่าวตักบีรเวลาไปละหมาดอีด ในชุมชนมุสลิมจะเปิดเครื่องขยายเสียงดังที่มัสยิด
- อาบน้ำและทำความสะอาดร่างกาย ควรมีการอาบน้ำชำระล้างและทำความสะอาดร่างกายก่อนสวมใส่เสื้อผ้าไปยังที่ละหมาด พร้อมทั้งขจัดขนอวัยวะเพศ ขนรักแร้ ตัดเล็บ กลิ่นกายที่น่ารังเกียจและรบกวนผู้อื่น
- แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ดีที่สามารถหามาได้ พร้อมกับใช้น้ำหอม ยกเว้นบรรดาสตรีซึ่งไม่อนุญาตให้พวกนางใช้น้ำหอมในการไปละหมาด
- ไปยังที่ละหมาดตั้งแต่เช้า สำหรับผู้เป็นมะมูม (ประชาชนทั่วไป) ควรรีบออกไปยังที่ละหมาดตั้งแต่เช้าเพื่อจองที่และรอละหมาด ยกเว้นผู้เป็นอิหม่าม (ผู้นำละหมาด) ให้ออกไปเมื่อใกล้เวลาละหมาด โดยการออกไปยังที่ละหมาดควรปฏิบัติดังนี้
ก.ควรออกไปและกลับด้วยการเดินเท้า นอกจากมีเหตุจำเป็น เช่น ไม่สบาย เป็นไข้ อยู่ไกล เช่นนี้อนุญาตให้ใช้พาหนะได้
ข.กล่าวตักบีรตลอดทางไปสู่ที่ละหมาด
ค.เดินเท้าไปและกลับควรใช้เส้นทางต่างกัน
ง.พาครอบครัวไปด้วยกัน
จ.ควรพาครอบครัว บุตร ภรรยาไปที่ละหมาด เพื่อร่วมละหมาดหรือฟังคุฏบะฮ์ (ธรรมเทศนา) ร่วมกัน เช่นปีที่ผ่านมาที่ จ.ยะลา จัดละหมาดอีดที่สนามศูนย์เยาวชน
- ภารกิจหลังละหมาดอีด หลังละหมาดให้ต่างคนต่างแสดงความดีใจและยินดีซึ่งกันและกัน โดยให้กล่าว "ตะก๊อบ บะลัลลอฮู มินนา วะมินกุม" ซึ่งแปลว่า "ขอให้อัลลอฮ์เจ้าตอบรับความดีที่เราได้ทำมาตลอดเดือนรอมฎอน" และขออภัยซึ่งกันและกัน หลังจากนั้นให้มีการบริจาคแก่เด็กๆ สุดท้ายไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่และมิตรสหาย
6. ถือศีลอดอีก 6 วันหลังจากวันอีดิ้ลฟิตรี ซึ่งเป็นการถือศีลอดซุนนะฮ์ (ตามความสมัครใจและตามแบบฉบับศาสดา) ตามรายงานของอะบีอัยยู๊บ ร่อฏิยัลลอฮุอันฮฺ (อัครสาวกศาสดาท่านหนึ่ง) แจ้งว่า ท่านร่อซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า "ผู้ใดถือศีลอดเดือนรอมฎอนแล้วติดตามหลังจากรอมฎอนอีก 6 วันจากเดือนเซาวัล เสมือนกับว่าเขาถือศีลอดทั้งปี"
นี่คือหลักปฏิบัติของอิสลามพอสังเขปซึ่งเป็นวิถีชีวิตของชุมชนมุสลิมภาคใต้ จึงใคร่ขอให้เจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับความมั่นคงได้เข้าใจและนำไปเป็นกรอบในการกำหนดนโยบายและปฏิบัติในพื้นที่ เพราะหลายๆ กิจกรรมเป็นช่วงกลางคืนและดึกดื่น
ในขณะเดียวกัน การเรียกร้องให้องค์กรของรัฐและสังคมอื่นเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์นั้น มุสลิมเองต้องมีคุณลักษณะและแสดงความเป็นมุสลิมที่ดีตามแนวทางศาสดาทุกอิริยาบทของการดำเนินชีวิตด้วย รวมทั้งเข้าใจ เข้าถึง และร่วมมือกับสังคมอื่นตามกรอบที่ศาสนากำหนดไว้เช่นกัน
หากทุกฝ่ายยึดตามแนวทางที่ถูกต้องและเข้าใจซึ่งกัน สังคมไทยจะอยู่ร่วมอย่างสมานฉันท์และสันติ"
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : การละหมาดตะรอเวี๊ยะในคืนรอมฎอนที่มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี