นายกฯถกผู้นำมาเลย์ชื่นมื่น ใต้ระอุยิง3ศพเทพา เด็ก9ขวบเหยียบบึ้มขาขาด
"ยิ่งลักษณ์" ถกผู้นำมาเลย์ระหว่างร่วมประชุมเอเปคที่รัสเซีย ยืนยันร่วมมือดับไฟใต้แม้กลุ่มป่วนพยายามเสี้ยมให้ขัดแย้ง พร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาบุคคลสองสัญชาติ ขณะที่ "สวนดุสิตโพล" ระบุชาวบ้านหนุนนายกฯล่องใต้ แต่ยังไม่เชื่อมั่นแก้ปัญหาได้ สถานการณ์ในพื้นที่ยังระอุ คนร้ายฝังกับระเบิดที่ระแงะ เด็กชายวัย 9 ขวบรับเคราะห์ตูมสนั่นขาขาด รัวกระสุนดับ 3 ศพที่เทพา ผู้ว่าฯยะลาลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดตรวจคุ้มครองตำบล
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางไปร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (กลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก) ครั้งที่ 20 ที่ประเทศรัสเซีย ระหว่างวันที่ 7-9 ก.ย.2555 และได้พบปะหารือแบบทวิภาคีกับ นายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยนายกฯยิ่งลักษณ์ เปิดเผยว่า ในการหารือทั้งสองประเทศยืนยันความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน ทั้งนี้ ในช่วงปลายเดือน ต.ค. มาเลเซียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมไทย-มาเลย์เซีย หรือ Joint Commission (JC) และจะได้หยิบยกเรื่องความมั่นคงตามแนวชายแดนมาหารือด้วย รวมทั้งจะนำเทคโนโลยีมาใช้ในการตรวจตราการข้ามแดนเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวและเพิ่มพูนการค้าการลงทุนระหว่างกัน
นอกจากนั้น จะมีการแก้ปัญหาบุคคลสองสัญชาติ ซึ่งต้องเร่งรัดให้เร็วที่สุด รวมทั้งการพัฒนาเพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนด้วย พร้อมกันนี้ได้หารือเร่งรัดให้มีการแก้ไขปัญหาราคายางพารา เพราะเป็นปัญหาร่วมกันของไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยไทยจะเร่งให้มีการหารืออย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพราะเห็นว่าการรักษาราคายางให้มีเสถียรภาพถือเป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างยิ่ง
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้มีการพูดคุยถึงกรณีกลุ่มก่อความไม่สงบนำธงชาติมาเลเซียไปติดตามพื้นที่ต่างๆ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมาซึ่งตรงกับวันชาติมาเลเซียหรือไม่ แต่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ตอบคำถามนี้ เพียงแต่ยืนยันว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศยังเป็นไปด้วยดี แม้จะมีความพยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดความขัดแย้งก็ตาม
"นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้ให้ความมั่นใจ พร้อมกับย้ำว่าสองประเทศจะทำงานควบคู่กันไป โดยมาเลเซียเห็นด้วย พอใจ และสนับสนุนแนวทางของไทยในการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีควบคู่ไปกับการพัฒนา ซึ่งไทยได้แจ้งให้มาเลเซียทราบถึงความคืบหน้าในการเพิ่มบุคลากรและงบประมาณทั้งด้านการศึกษาและการสร้างอาชีพในพื้นที่" นายกฯยิ่งลักษณ์ ระบุ
โพลล์หนุนนายกฯล่องใต้แต่ยังไม่เชื่อมั่น
วันอาทิตย์ที่ 9 ก.ย.2555 "สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้แถลงผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,598 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 5-8 ก.ย.2555 เกี่ยวกับประเด็นที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อรับฟังแนวทางการแก้ไขปัญหาภาคใต้
ผลสำรวจพบว่า กลุ่มตัวอย่างในสัดส่วนมากที่สุด คือ ร้อยละ 30.63 เห็นว่าเป็นเรื่องดีที่นายกฯให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับปัญหาภาคใต้ด้วยการเดินทางลงพื้นที่ แต่ต้องเอาจริงเอาจัง และแก้ปัญหาให้ตรงจุด รองลงมาร้อยละ 23.08 เห็นว่านายกฯต้องรับฟังปัญหาและข้อมูลข้อเท็จจริงจากหลายๆ ฝ่าย พร้อมขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้มาช่วยกัน อันดับ 3 ร้อยละ 20.91 คิดว่าปัญหาไฟใต้ยากที่จะแก้ไขให้สำเร็จ อันดับ 4 ร้อยละ 19.26 เสนอให้นายกฯสนับสนุนด้านงบประมาณ กำลังพล และอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพใช้งานได้ และอันดับ 5 ร้อยละ 6.12 เสนอให้เจรจากับประเทศมาเลเซียเพื่อหาแนวทางหรือข้อตกลงที่จะยุติปัญหาโดยเร็ว
ส่วนในประเด็นที่ว่า การที่นายกฯเดินทางลงพื้นที่ สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้มากน้อยเพียงใด อันดับ 1 ร้อยละ 31.91 ไม่ค่อยเชื่อมั่น เพราะการแก้ไขปัญหาต้องใช้เวลาและความร่วมมือจากหลายฝ่าย อันดับ 2 ร้อยละ 27.67 ไม่เชื่อมั่น เพราะไฟใต้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่หวังผลทางการเมืองมากกว่า อันดับ 3 ร้อยละ 23.40 ค่อนข้างเชื่อมั่น เพราะรัฐบาลได้รับทราบแนวทางการแก้ปัญหาที่ชัดเจนมากขึ้น และอันดับ 4 ร้อยละ 17.02 เชื่อมั่นมาก เพราะถ้ารัฐบาลเอาจริงเอาจัง นายกฯให้ความสำคัญและลงไปแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ก็น่าจะแก้ได้ไม่ยาก
เมื่อถามว่า ใคร? หรือหน่วยงานใด? ที่ประชาชนคิดว่าจะช่วยแก้ปัญหาไฟใต้ได้มากที่สุด อันดับ 1 ร้อยละ 42.27 ระบุว่าทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อันดับ 2 ร้อยละ 22.02 ระบุว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาล อันดับ 3 ร้อยละ 19.73 ระบุว่าคือทหาร ตำรวจ และหน่วยงานของรัฐที่อยู่ในพื้นที่ และอันดับ 4 ร้อยละ 15.98 ระบุว่าคือประชาชนคนในพื้นที่
เชียร์แนวคิด"เฉลิม"จับมือฝ่ายค้านร่วมแก้ใต้
นอกจากนั้น กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 65.96 ยังเห็นด้วยกับแนวคิดของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่จะให้มีการร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้านในการแก้ปัญหาภาคใต้ แต่ก็มีกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 34.04 ที่บอกว่าไม่เห็นด้วย เพราะในทางปฏิบัติไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากต่างฝ่ายต่างมีความคิดและแนวทางที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน กลุ่มตัวอย่างในสัดส่วนร้อยละ 47.92 ยังเห็นว่าปัญหาไฟใต้มีเรื่องการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างมาก
เมื่อถามถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ในการแก้ไขปัญหาไฟใต้ พบว่า อันดับ 1 หรือร้อยละ 39.58 บอกไม่ค่อยเชื่อมั่น เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องใช้ความรอบคอบ ไม่ใช่ทำแค่ผิวเผิน รองลงมาร้อยละ 27.09 ไม่เชื่อมั่น เพราะไม่ว่ารัฐบาลชุดไหนเข้ามาบริหารประเทศก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ อันดับ 3 ร้อยละ 18.75 ระบุค่อนข้างเชื่อมั่น และมีเพียงร้อยละ 14.58 ที่บอกว่าเชื่อมั่น เนื่องจากเห็นว่าถ้ารัฐบาลเอาจริงเอาจังก็จะแก้ปัญหาได้ไม่ยาก
เด็ก 9 ขวบรับเคราะห์เหยียบกับระเบิดที่ระแงะขาขาด
ด้านสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา ยังคงมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเหตุฝังกับระเบิดแบบเหยียบเอาไว้ในสวนยางพาราหรือพื้นที่ต่างๆ เพื่อลวงให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเข้าไปเหยียบ
ล่าสุดเมื่อเวลา 10.40 น.วันอาทิตย์ที่ 9 ก.ย. ตำรวจ สภ.ระแงะ จ.นราธิวาส รับแจ้งมีเด็กเหยียบกับระเบิดจนขาขาด บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ริมถนนสายตันหยงมัส-ดุซงญอ ท้องที่บ้านบาโงตา ต.บาโงสะโต อ.ระแงะ จึงรีบนำกำลังรุดไปตรวจสอบ ทั้งนี้ บริเวณที่เกิดเหตุพบหลุมระเบิดลึก 1 ฟุต กว้าง 1 ฟุต และมีเศษซากชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในกระป๋องปลากระป๋องยี่ห้อหนึ่ง น้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม จุดชนวนด้วยระบบเท้าเหยียบ กระจายเกลื่อน จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
สำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บทราบชื่อคือ ด.ช.มูฮัมมัดซาฟิก ลาเต๊ะ อายุ 9 ปี ขาซ้ายขาด พลเมืองดีช่วยนำส่งโรงพยาบาลระแงะแล้ว ส่วนเพื่อนของ ด.ช.มูฮัมมัดซาฟิก อีก 2 คนถูกแรงอัดของระเบิดจนล้มทั้งยืน ชาวบ้านนำส่งโรงพยาบาลแล้วเช่นกัน ล่าสุดอาการปลอดภัย และอนุญาตให้กลับบ้านได้ คงเหลือเพียง ด.ช.มูฮัมมัดซาฟิก ที่อาการยังสาหัส
สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุเด็กชาย 3 คนได้ชวนกันเดินไปซื้อขนมที่ร้านค้าซึ่งตั้งอยู่ริมถนน ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 50 เมตร ระหว่างที่เดินกลับบ้าน ด.ช.มูฮัมมัดซาฟิก ได้ลัดเลาะเข้าไปในป่าหญ้าริมถนน และพลาดไปเหยียบกับระเบิดที่คนร้ายฝังไว้จนเกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แรงอัดระเบิดทำให้ ด.ช.มูฮัมมัดซาฟิก กระเด็นไปอยู่บนถนน ขาซ้ายขาดทันที ส่วนเพื่อนอีก 2 คนก็ล้มทั้งยืน เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบที่ลอบฝังกับระเบิดไว้ดักสังหารเจ้าหน้าที่ในวันที่ปักธงชาติมาเลเซียและวางวัตถุต้องสงสัยทั่วพื้นที่ชายแดนใต้ เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา แต่จุดนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่พลาดไปเหยียบ กับระเบิดจึงยังคงอยู่ และทำให้ ด.ช.มูฮัมมัดซาฟิก ต้องรับเคราะห์ดังกล่าว
ก่อนหน้านั้น เมื่อเวลา 09.45 น.วันเสาร์ที่ 8 ก.ย. เจ้าหน้าที่ทหารพรานหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 45 รับแจ้งเหตุชาวบ้านว่าพบวัตถุต้องสงสัยในสวนยางพาราพื้นที่บ้านตอหลัง หมู่ 3 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส จึงนำกำลังรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ทำลายวัตถุระเบิดหน่วยเฉพาะกิจอโณทัย พบระเบิดแสวงเครื่องบรรจุในกระป๋องปลากระป๋อง จุดชนวนแบบเหยียบ (กับระเบิดแบบเหยียบ) จำนวน 1 ลูก ฝังไว้บริเวณโคนต้นยางพารา เจ้าหน้าที่เก็บกู้ไว้ได้อย่างปลอดภัย
บึ้มทหารรบพิเศษเจ็บ 2 - ยิงรายวันเพียบ
สำหรับเหตุรุนแรงอื่นๆ เมื่อวันเสาร์ที่ 8 ก.ย.เวลา 10.30 น. ขณะที่ ร.อ.สมพงษ์ อินทชื่น หัวหน้าชุดปฏิบัติการรบพิเศษ 107 (ชป.รพศ.107) นำกำลังพลรวม 6 นาย ไปพบปะกับผู้ปกครองและนักเรียนโรงเรียนตาดีกาในท้องที่ อ.กะพ้อ จ.ปัตานี โดยใช้รถจักรยานยนต์ 3 คันเป็นพาหนะ เมื่อเสร็จภารกิจกำลังเดินทางกลับ เมื่อขบวนรถแล่นถึงถนนในหมู่บ้านคอลอกะปะ หมู่ 6 ต.กะรุบี อ.กะพ้อ ได้ถูกคนร้ายจุดชนวนระเบิดแสวงเครื่องน้ำหนักประมาณ 15 กิโลกรัมที่ลอบวางไว้บริเวณคอสะพานที่ถูกน้ำเซาะเป็นร่อง โชคดีที่ระเบิดทำงานหลังจากรถแล่นผ่านไปแล้ว ทำให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 2 นาย คือ ร.อ.สมพงษ์ และ จ.ส.ท.จารุกิจ ล่ำสูง
เวลา 18.30 น.คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดยิง นายสมสาย ตาคำปัญญา อายุ 30 ปี ภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 19 ต.คลองนาไหล อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร เสียชีวิตคาที่ขณะกำลังหาของป่าอยู่ในป่าหลังหมู่บ้านดีดะ หมู่ 4 ต.ถ้ำทะลุ อ.บันนังสตา จ.ยะลา เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหาร
ก่อนหน้านั้น ที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เวลาประมาณ 05.00 น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ขี่ตามประกบยิง นายบือราเฮง นาเซ อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 85 บ้านส้มป่อย หมู่ 4 ต.กาเยาะมาตี อ.บาเจาะ จนได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดระหว่างที่นายบือราเฮงกำลังขี่รถจักรยานยนต์อยู่บนถนนในหมู่บ้านส้มป่อย เพื่อไปกรีดยางพารา เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการลอบยิงเช่นกัน
รัวกระสุนดับ 3 ศพที่เทพา-เหยื่อเป็นหญิงล้วน
วันศุกร์ที่ 7 ก.ย.เวลาประมาณ 11.00 น. ขณะที่ นางนาถชนก ใสทอง อายุ 36 ปี เจ้าของจุดรับซื้อน้ำยางพารา และเป็นภรรยาของผู้ใหญ่บ้านใน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา พร้อมด้วย นางสมศรี โชติชูพงษ์ อายุ 40 ปี ภรรยาของตำรวจ สภ.ห้วยปลิง อ.เทพา จ.สงขลา กำลังรับซื้อน้ำยางจาก น.ส.วิภารัตน์ ไชยลาภ อายุ 29 ปี ครูโรงเรียนบ้านตาแปด ต.ท่าม่วง อ.เทพา จ.สงขลา และจ่ายเงินค่าน้ำยางกันอยู่ที่จุดรับซื้อน้ำยางบ้านร่องนุ หมู่ 8 ต.ลำไพล อ.เทพา นั้น
ปรากฏว่าคนร้าย 3 คนมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนกระหน่ำยิงทั้ง 3 รายเสียชีวิตคาที่ จากนั้นได้ชิงรถกระบะยี่ห้อเชฟโรเลต สีดำ หมายเลขทะเบียน บษ 8864 สงขลา ของนางนาถชนก พร้อมเงินสดหลบหนีไป
ก่อนหน้านั้น เวลาประมาณ 06.35 น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนพกไม่ทราบขนาดยิงใส่ นายอิบรอเฮง แฮะ อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 108/5 บ้านปาลัส หมู่ 1 ต.ควน อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี จนได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดบริเวณหน้าบ้านของตนเอง ขณะที่นายอิบรอเฮงกำลังเดินเข้าบ้านหลังกลับจากละหมาดที่มัสยิด
เวลา 09.40 น.คนร้าย 2 คนมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนพกขนาด .45 มม. ประกบยิง นายมะลาพี ปานาปาแม อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 82/8 บ้านปูลามอง หมู่ 6 ต.เกะรอ อ.รามัน จ.ยะลา กระสุนถูกบริเวณศีรษะ ได้รับบาดเจ็บสาหัส และไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลกะพ้อ เหตุเกิดขณะนายมะลาพีกำลังขี่รถจักรยานยนต์แบบพ่วงข้างเร่ขายผลไม้อยู่ในหมู่บ้านเจาะกะพ้อใน หมู่ 7 ต.กะรุบี อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหาร
เวลา 18.35 น.คนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบยิง นายสุวรรณ อ้อมแก้ว อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 68 บ้านสะเตเซ็ง หมู่ 3 ต.บาลอ อ.รามัน จ.ยะลา เสียชีวิตคาที่ เหตุเกิดขณะนายสุวรรณกำลังขี่รถจักรยานยนต์อยู่บนถนนสายรามัน-รือเสาะ ท้องที่บ้านบาลูปาลัส หมู่ 7 ต.บาลอ อ.รามัน มุ่งหน้ากลับบ้าน เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหารเช่นกัน
บึ้มกลางงานของดีบันนังสตา-ชาวบ้านเจ็บ 2
ก่อนหน้านั้น เมื่อกลางดึกคืนวันพฤหัสบดีที่ 6 ก.ย.เกิดระเบิดภายในโรงเรียนบันนังสตาอินทรฉัตร อ.บันนังสตา จ.ยะลา ซึ่งกำลังจัดงาน "วันกล้วยหิน ของดีอำเภอบันนังสตา 55” แรงระเบิดทำให้ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ 3 ราย โดยระเบิดที่คนร้ายใช้เป็นระเบิดขนาดเล็ก จุดชนวนด้วยการตั้งเวลา
คืนเดียวกัน ที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี คนร้ายไม่ทราบจำนวนลอบวางเพลิงเผารถแบ็คโฮของบริษัทอันวาโยธากิจ ซึ่งรับเหมาขุดหินและดินลูกรังบนเขากูบังบาเดาะเพื่อนำไปก่อสร้างถนน จนรถเสียหายทั้งคัน เหตุเกิดบริเวณเชิงเขาบ้านกูบังบาเดาะ หมู่ 4 ต.สะกำ อ.มายอ เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการลอบวางเพลิง
ขุดพบ "เอ็ม 16-ระเบิด" ฝังดินที่สะบ้าย้อย
ด้านผลการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เมื่อวันเสาร์ที่ 8 ก.ย.หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41 สนธิกำลังกับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 42 และคณะทำงานปราบปรามภัยแทรกซ้อน เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายที่บ้านนาจะแหน หมู่ 5 ต.จะแหน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา หลังสืบทราบว่ามีการนำอาวุธสงครามไปซุกซ่อน ผลการตรวจค้น พบกระสอบปุ๋ยฝังอยู่บริเวณโคนต้นไม้ใหญ่ริมคลอง ภายในบรรจุอาวุธสงคราม 4 รายการ ได้แก่ ปืนเอ็ม 16 เอ 1 ทะเบียนปืน 337064 จำนวน 1 กระบอก ซองกระสุนปืนเอ็ม 16 จำนวน 1 ซอง เครื่องกระสุน 20 นัด และลูกระเบิดแบบเอ็มเค-2 (MK-2) จำนวน 1 ลูก จึงตรวจยึดและนำส่ง สภ.สะบ้าย้อย ดำเนินคดีต่อไป
วันศุกร์ที่ 7 ก.ย. กำลังผสมตำรวจ ทหาร ทหารพราน และฝ่ายปกครอง เข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านเป้าหมาย 5 หลังในท้องที่ ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส พบสิ่งของผิดกฎหมายในบ้าน 2 หลัง เลขที่ 33 ถนนเทศบาล หมู่ 7 ต.ตันหยงมัส ได้แก่ อาวุธปืนลฃูกซองยาว ลูกซองสั้น อาวุธปืนพก และเครื่องกระสุนจำนวนหนึ่ง กับบ้านเลขที่ 1 ถนนเทศบาล 17 ซอย 3 ก. หมู่ 7 ต.ตันหยงมัส ได้แก่ อาวุธปืนพกขนาด .45 มม.และเครื่องกระสุน จึงยึดของกลางไปตรวจสอบและส่งตัวเจ้าของบ้านไปซักถามตามกรรมวิธี
ขยายผลเหตุปะทะที่โคกสะตอ-ค้นบ้านเจอเอ็ม 16
ส่วนความคืบหน้าเหตุการณ์เมื่อวันพุธที่ 5 ก.ย. ซึ่งหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41 ยิงปะทะกับกลุ่มผู้ต้องสงสัยในพื้นที่บ้านพัฒนาชาติไทย หมู่ 7 ต.โคกสะตอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส และวิสามัญฆาตรกรรมผู้ต้องสงสัย 1 ราย ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยอีก 5 ราย พร้อมยุทโธปกรณ์จำนวนหนึ่งนั้น จากการซักถามหนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัว ปรากฏว่านำไปสู่การขยายผลเข้าปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่หมู่ 7 ต.โคกสะตอ และสามารถตรวจยึดยุทโธปกรณ์ได้ 9 รายการ ที่บ้นาเลขที่ 44 หมู่ 7 ต.โคกสะตอ พร้อมควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัยไปสอบปากคำได้ 3 ราย
สำหรับยุทโธปกรณ์ที่ยึดได้ เช่น ปืนเอ็ม 16 เอ 1 จำนวน 1 กระบอก ปืนลูกซองยาว 5 นัด 1 กระบอก ซองกระสุนและเครื่องกระสุนอีกจำนวนมาก รวมทั้งด้ามปืนไม้อีก 1 อัน
ผู้ว่าฯยะลาเดินสายตรวจเยี่ยมจุดตรวจคุ้มครองตำบล
ก่อนหน้านั้น เมื่อกลางดึกคืนวันพฤหัสบดีที่ 6 ก.ย. นายเดชรัฐ สิมศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา พร้อมด้วย นายวชิระ อัลภาชน์ นายอำเภอเมืองยะลา ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการทำงานของชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) อาสาสมัครรักษาหมู่บ้าน (อรบ.) และกองกำลังอาสารักษาดินแดน (อส.) ที่จุดตรวจชุดคุ้มครองตำบล (ชคต.) หมู่ 1 บ้านยุโป ต.ยุโป อ.เมืองยะลา จุดตรวจชุดคุ้มครองตำบล (ชคต.) หมู่ 7 บ้านสีคง ต.ลำใหม่ อ.เมืองยะลา จุดตรวจชุดคุ้มครองตำบล (ชคต.) หมู่ 1 บ้านลำใหม่ ต.ลำใหม่ อ.เมืองยะลา และจุดตรวจชุดคุ้มครองตำบล (ชคต.) หมู่ 5 บ้านลูกา ต.ลำใหม่ อ.เมืองยะลา
โอกาสนี้ นายเดชรัฐ ได้พูดคุยรับฟังปัญหากับกองกำลังประชาชนอย่างเป็นกันเอง ทั้งยังได้นำเครื่องอุปโภคบริโภคไปมอบให้ชุดคุ้มครองตำบล เพื่อเป็นขวัญกำลังใจด้วย สำหรับชุดคุ้มครองตำบล 1 ชุดนั้น จะมี ชรบ. อรบ. และกำลัง อส.อยู่ประจำจุดตรวจคุ้มครองตำบล จำนวน 30 นาย
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 ชุดคุ้มครองตำบลทำงานอย่างเข้มแข็งตามนโยบายของผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา
2 จุดตรวจประจำตำบลยุโป อ.เมือง จ.ยะลา หนึ่งในจุดตรรวจของชุดคุ้มครองตำบลที่ผู้ว่าฯยะลาเดินทางไปตรวจเยี่ยม (ภาพทั้งหมดโดย อะหมัด รามันห์สิริวงศ์)
ขอบคุณ :
1 ข่าวภารกิจนายกรัฐมนตรีที่รัสเซีย โดยทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักข่าวเนชั่น
2 ผลสำรวจของสวนดุสิตโพล โดยสวนดุสิตโพล และสำนักข่าวเนชั่น