- Home
- Community
- กระแสชุมชน
- ทรัพยากร-สิ่งแวดล้อม
- เวทีท้องถิ่นเผย แผนอนุรักษ์พลังงาน “เลิกโรงไฟฟ้าถ่านหินได้ 9 โรง นิวเคลียร์ 5 โรง”
เวทีท้องถิ่นเผย แผนอนุรักษ์พลังงาน “เลิกโรงไฟฟ้าถ่านหินได้ 9 โรง นิวเคลียร์ 5 โรง”
นักวิชาการเผย ทำตามแผนอนุรักษ์พลังงานฯ ลดก๊าซเรือนกระจกได้ 49 ล้านตัน/ปี ลดไฟฟ้า1.2หมื่นเมกะวัตต์ เลิกถ่านหินได้ 9โรง-นิวเคลียร์ 5 โรง คนนครฯยอมจ่ายเพิ่มเพื่อพลังงานทางเลือก
นายศุภกิจ นันทะวรการ นักวิชาการมูลนิธินโยบายสุขภาวะ เปิดเผยในเวทีเสวนา “ปัญหาพลังงาน...ทำไมจึงกลายเป็นปัญหาของท้องถิ่น” ซึ่งจัดโดยสถาบันวิจัยและพัฒนา หน่วยวิจัยพลังงานหมุนเวียน มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น ศูนย์ประสานงานจังหวัดนครศรีธรรมราช เครือข่ายรักษ์บ้านเกิดท่าศาลา เมื่อเร็วๆนี้ที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ว่าแผนอนุรักษ์พลังงาน 20 ปี (พ.ศ. 2554 – 2573) ของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน มีศักยภาพในการประหยัดไฟฟ้าภายในปี 2573 โดยแบ่งเป็น
การประหยัดในภาคอุตสาหกรรม 33,500 ล้านหน่วย ภาคอาคารธุรกิจขนาดใหญ่ 27,420 ล้านหน่วย ภาคอาคารขนาดเล็กและบ้านเรือน 23,220 ล้านหน่วย รวม 84,140 ล้านหน่วย หรือ 24.2% ของแผนพีดีพี 2010 กำหนดเป้าหมายของแผนฯ ประมาณร้อยละ 82 ของศักยภาพหรือ 69,000 ล้านหน่วย หรือ 10,500 เมกะวัตต์ สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ 49 ล้านตัน/ปี ประหยัดพลังงานได้ 272,000 ล้านบาท/ปี
นักวิชาการมูลนิธินโยบายสุขภาวะ กล่าวอีกว่าแผนอนุรักษ์พลังงานฉลับดังกล่าวมีความคุ้มค่าในการลงทุน คิดเฉลี่ย 2,000-6,000 บาทต่อตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ เป้าหมายการประหยัดไฟฟ้าในปี 2573 เทียบเท่ากับการลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุดได้ 10,500 เมกะวัตต์ หากรวมกำลังการผลิตสำรอง 15% แผนอนุรักษ์พลังงานฯ สามารถลดความจำเป็นในการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ได้ 12,077 เมกะวัตต์ สามารถยกเลิกโรงไฟฟ้าถ่านหิน 9 โรง (7,200 เมกะวัตต์) บวกกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 5 โรง (5,000 เมกะวัตต์)
ทั้งนี้แผนพัฒนาพลังงานทางเลือก 25% ใน 10 ปี พ.ศ. 2555-2564 ของกระทรวงพลังงาน ยังสามารถพัฒนาด้านพลังงานจากเปอร์เซ็นต์การทดแทนฟอสซิล 25% ไม่รวม NGV กำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน 9,201 เมกะวัตต์ ปริมาณความร้อน 9,335 ktoe เชื้อเพลิงชีวภาพ 39.97 ล้านลิตรต่อวัน เปอร์เซ็นต์ทดแทนน้ำมัน 44% สำหรับด้านเศรษฐกิจสามารถลดการนำเข้าน้ำมัน 5.74 แสนล้านบาท ส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน 4.42 แสนล้านบาท ด้านสิ่งแวดล้อม การลด CO2 จำนวน 76 ล้านตันต่อปี ในปี 2564 รายได้ที่เกิดขึ้นจากการขายคาร์บอนเครดิต 2.3 หมื่นล้านบาท ด้านการพัฒนางานนวัตกรรมและเทคโนโลยี แผนงานวิจัยมีแผนปฏิบัติการชัดเจน ปี 2555-2559
นายศุภกิจ กล่าวอีกว่าแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า 2553-2557 (แผน PDP 2010) ของกระทรวงพลังงาน พยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าสูงสุดจะเพิ่มขึ้น 2.4 เท่าจาก 22,315 เมกะวัตต์ ในปี 2552 เป็น 52,890 เมกะวัตต์ ในปี 2573 พยากรณ์การใช้ไฟฟ้าว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 146,182 ล้านหน่วยเป็น 347,947 ล้านหน่วยในปี 2573 หรือเพิ่มขึ้น 2.4 เท่า กำลังการผลิตไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นจาก 29,212 เมกะวัตต์ในปี 2552 เป็น 65,547 เมกะวัตต์ ในปี 2573 ทั้งนี้กำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ปี 2553-2573 เพิ่มขึ้น 54,005 เมกะวัตต์ มาจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมก๊าซธรรมชาติ 16,670 เมกะวัตต์ ซื้อไฟฟ้าต่างประเทศ 11,669 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ 5,000 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าถ่านหิน 8,400 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ 512 เมกะวัตต์ ซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 4,617 เมกะวัตต์ และระบบผลิตพลังงานร่วมไฟฟ้า-ความร้อน 7,137 เมกะวัตต์
“ความต้องการไฟฟ้าสูงสุดจนถึง มิ.ย.54 เท่ากับ 23,900 เมกะวัตต์ ต่ำกว่าการพยากรณ์ตามแผน PDP2010 คือ 24,568 เมกะวัตต์ไปแล้ว 668 เมกะวัตต์ เมื่อรวมกับกำลังผลิตสำรองอีก 15% จึงสามารถเลิกโครงการโรงไฟฟ้าได้แล้ว 768 เมกะวัตต์”
นายศุภกิจ กล่าวต่ออีกว่าจากการทำวิจัยในพื้นที่ 5 จังหวัด นครศรีธรรมราช เชียงใหม่ นครศรีราชสีมา กรุงเทพมหานคร ระยอง โดยเก็บตัวอย่างจังหวัดละ 400 คน เกี่ยวกับการยอมจ่ายค่าไฟฟ้าแพงขึ้นหรือไม่ หากมีการผลิตพลังงานทางเลือกและต้องจ่ายค่าไฟฟ้าสูงขึ้น พบว่าคนนครศรีธรรมราชเห็นว่าการเก็บค่าไฟฟ้าเหมาะสมมากที่สุดตามแผนพีดีพีร้อยละ 92.6 มากกว่าแผนพีดีพีร้อยละ 86.8 คนกรุงเทพฯ เห็นว่าการเก็บค่าไฟฟ้าเหมาะสมน้อยที่สุดตามแผนพีดีพีร้อยละ 52.2 มากกว่าแผนพีดีพีร้อยละ 30
“คนรายได้ต่ำกว่า 6,000 บาท เห็นว่าค่าไฟฟ้าตามแผนพีดีพีเหมาะสมมากที่สุดร้อยละ 80 และมากกว่าแผนพีดีพีเห็นว่าค่าไฟฟ้าเหมาะสมมากที่สุดร้อยละ 66 ส่วนคนรายได้ 6-8 หมื่นบาทเห็นว่าค่าไฟฟ้าตามแผนพีดีพีเหมาะสมน้อยที่สุดร้อยละ 53.8 และมากกว่าแผนพีดีพีเห็นว่าค่าไฟฟ้าเหมาะสมน้อยที่สุดร้อยละ 26.9” นายศุภกิจ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาคประชาชนและชุมชนภาคใต้ เคลื่อนไหวคัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของรัฐบาลมาโดยตลอด ด้วยเหตุผลว่ามีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต และจากประสบการณ์ทั่วโลกไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยได้ อีกทั้งเห็นว่าโครงการต่างๆยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสและเปิดโอกาสให้ผู้ที่จะได้รับผลกระทบมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นหรือตัดสินใจ .
---------------------------------------------------------