- Home
- Thaireform
- สัมภาษณ์ - ปาฐกถา
- สังคม
- คุยกับ 'อดีตอธิบดีกรมข้าว' ถ่ายทอดคุณูปการ ‘ร.9’ ตามรอยพระบาท บิดาพัฒนาข้าวไทย
คุยกับ 'อดีตอธิบดีกรมข้าว' ถ่ายทอดคุณูปการ ‘ร.9’ ตามรอยพระบาท บิดาพัฒนาข้าวไทย
ร่วมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย คุยกับ ‘ชัยฤทธิ์ ดำรงเกียรติ’ อดีตอธิบดีกรมการข้าว ถ่ายทอดคุณูปการ ‘ในหลวง ร.9’ กับการวิจัยและพัฒนาข้าวไทย ที่ได้ทรงวางรากฐาน สร้างโครงการเพื่อชาวนาอยู่ดี กินดี
“ข้าวต้องปลูก เพราะอีก 20 ปี ประชากรอาจจะ 80 ล้านคน ข้าวจะไม่พอ ถ้าลดการปลูกข้าวไปเรื่อย ๆ ข้าวจะไม่พอ เราต้องซื้อข้าวจากต่างประเทศ เรื่องอะไร ประชาชนคนไทยไม่ยอม คนไทยนี้ต้องมีข้าว แม้ข้าวที่ปลูกในเมืองไทยจะสู้ข้าวที่ปลูกในต่างประเทศไม่ได้ เราก็ต้องปลูก...” พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในโอกาสที่เสด็จฯ ทอดพระเนตรโครงการโคกกูแว จ.นราธิวาส ปี พ.ศ.2536
แสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงให้ความสำคัญงานด้านข้าวมาโดยตลอด โดยทรงทุ่มเทพระวรกายเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรสภาพความเป็นอยู่ของชาวนาด้วยพระองค์เอง เพื่อบำบัดทุกข์ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมมีพระราชดำริและทรงดำเนินการเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาข้าวในโครงการส่วนพระองค์ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ พร้อมกับทรงสนับสนุนการวิจัยข้าว
70 ปีแห่งการครองราชย์ และทรงงานด้านข้าวมาต่อเนื่อง คณะรัฐมนตรี จึงมีมติเมื่อ 18 ต.ค. 2559 ให้เฉลิมพระเกียรติล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 เป็น ‘บิดาแห่งการวิจัยและพัฒนาข้าวไทย’
ชัยฤทธิ์ ดำรงเกียรติ อดีตอธิบดีกรมการข้าว
นายชัยฤทธิ์ ดำรงเกียรติ อดีตอธิบดีกรมการข้าว กล่าวด้วยความปลาบปลื้มใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมีคุณูปการกับข้าวไทยมหาศาล โดยมีโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา เป็นจุดเริ่มต้นของการทรงงานศึกษาและทดลองการปลูกข้าว ซึ่งใช้ทุนทรัพย์ส่วนพระองค์
“พระองค์ทรงใช้แปลงนาทดลองเป็นพื้นที่ศึกษาเรื่องพันธุ์ข้าว เทคโนโลยีการปลูกข้าว การปลูกพืชแซมในนาข้าว ดิน ปุ๋ย เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงสนพระทัยเรื่องข้าวอย่างมาก”
แปลงนาทดลองผืนนี้จึงกลายเป็นแปลงที่มีคุณค่า เพราะช่วยส่งเสริมการศึกษาวิจัย และทำให้เกษตรกรและนักเรียนนักศึกษาใช้ในการเรียนรู้ ศึกษาดูงาน ที่สำคัญ เราใช้แปลงนาทดลองเป็นแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทานเพื่อใช้ในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
"ข้าพเจ้ามีโอกาสได้ศึกษาการทดลองเเละทำนามาบ้าง
เเละทราบดีว่า การทำนานั้นมีความยากลำบากอยู่มิใช้น้อย จำเป็นต้องอาศัยพันธุ์ข้าวที่ดี
เเละต้องใช้วิชาการต่าง ๆ ด้วย จึงจะได้ผลเป็นล่ำเป็นสัน..."
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานเเก่ผู้นำกลุ่มชาวบ้าน พ.ค. 2504
อดีตอธิบดีกรมการข้าว บอกเล่าว่า ไม่เพียงพระองค์จะส่งเสริมให้ผลิตข้าวเองได้ แต่ได้มองไปถึงการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า เพราะหากเกษตรกรยังปลูกข้าวและขายเป็นข้าวเปลือก จะทำให้ไม่สามารถเพิ่มมูลค่าได้ ด้วยเหตุนี้ จึงได้พระราชทาน ‘โรงสีข้าวตัวอย่างแบบระบบแรงเหวี่ยง สวนจิตรลดา’ ขึ้นมา และดำเนินการต้นแบบ ก่อนจะขยายผลไปยังโรงสีข้าวชุมชน โดยพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นเงิน 38,200 บาท
นอกจากนี้ยังมีพระราชดำริให้จัดตั้งสหกรณ์ เพื่อจัดซื้อข้าวเปลือกในราคาเป็นธรรมและให้สมาชิกสหกรณ์ได้บริโภคข้าวสารในราคาเหมาะสม โดยพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน 1 แสนบาท ให้ด้วย พร้อมกับให้นำแกลบที่ได้จากโรงสีข้าวมาแปรรูปอัดแท่งเป็นถ่าน หรือใช้บำรุงดิน จำหน่าย จะได้เกิดประโยชน์สูงสุด
“พระองค์ทรงคิดค้นการพัฒนาข้าวมานาน โดยเฉพาะเรื่องของนวัตกรรม แต่คนไทยเพิ่งมาตื่นตัวในช่วงนี้” นายชัยฤทธิ์ มองว่า หากทุกคนสามารถน้อมนำไปปฏิบัติได้อย่างครบวงจร เชื่อว่าจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต และรายได้ ให้ดีขึ้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ทรงเกี่ยวข้าว ณ โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ บางเเตน จ.ปราจีนบุรี (ภาพประกอบ:ไทยรัฐทีวี)
จากพระราชดำรัส ฟื้นกำเนิด ‘กรมการข้าว’
ทั้งนี้ อย่างที่ทราบกันดีว่า พระองค์ทรงให้ความสำคัญเรื่องการปลูกข้าว และการส่งเสริมพัฒนาข้าวให้ชาวนา นายชัยฤทธิ์ กล่าวว่า พระองค์ทรงลงพระปรมาภิไธยในราชกิจจานุเบกษาเกี่ยวกับการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม จัดตั้ง ‘กรมการข้าว’ ขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อปี พ.ศ. 2549 หลังจากเคยจัดตั้งขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ.2496 ก่อนจะยุบและนำไปรวมกับหน่วยงานอื่นในปี 2515
ด้วยพระองค์มีพระราชดำรัสเรื่องข้าว ทำให้มองว่า ควรจัดตั้งกรมการข้าว เพราะข้าวเป็นพืชที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทย แต่ปัจจุบันหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องข้าวมีหลายหน่วยงาน กระจัดกระจายตามส่วนราชการต่าง ๆ ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งส่วนใหญ่สังกัดกรมวิชาการเกษตร ทำให้การวิจัย พัฒนา และการถ่ายทอดเทคโนโลยีไม่สามารถเชือมโยงกันได้
“สมัยดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมการข้าว ยังได้มีโอกาสได้จัดตั้งโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ โดยสร้างศูนย์วิจัยข้าว 27 แห่งทั่วประเทศ และพระองค์ได้เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมถึง 3 ศูนย์วิจัย ได้แก่ ศูนย์วิจัยข้าวนครราชสีมา ทรงสนพระทัยเรื่องการปลูกข้าวในดินเค็ม ศูนย์วิจัยข้าวเชียงใหม่ ทรงสนพระทัยเรื่องการปลูกข้าวไร่ และศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง จ.เชียงใหม่ ทรงสนพระทัยการปลูกพันธุ์ข้าวเมืองหนาว เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์”
ที่สำคัญกว่านั้น สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ยังได้มอบทุนให้กรมการข้าวไว้ศึกษาพัฒนาและวิจัยพันธุ์ข้าว ปีละ 3-5 ล้านบาท อีกด้วย
น้อมนำหลักเกษตรทฤษฏีใหม่-ความพอเพียง ปรับใช้
แม้ปัจจุบันนายชัยฤทธิ์ จะเกษียณอายุราชการแล้ว แต่ยังคงช่วยเหลืองานด้านการวิจัยและพัฒนาข้าวกับกรมการข้าวอยู่ โดยตลอดระยะเวลาของการทำงาน ได้น้อมนำพระราชดำรัสของพระองค์มาปรับใช้เป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตมาโดยตลอด
โดยเฉพาะหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ เพราะเขาเชื่ออย่างหนึ่งว่า ชาวนาหากปลูกข้าวอย่างเดียว ปัญหาจะเกิดตามมา เพราะข้าวสร้างรายได้ค่อนข้างต่ำและมีความเสี่ยงสูงจากภัยธรรมชาติ รวมถึงโรคแมลง การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ ไม่ปลูกพืชชนิดเดียวจะช่วยลดความเสี่ยงได้
ทั้งนี้ ต้องควบคุมกับการใช้ชีวิตภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วย อดีตอธิบดีกรมการข้าว บอกว่า จากการศึกษาปัญหาของชาวนา พบว่า ส่วนใหญ่ยังยากจน เพราะไม่พอเพียง ไม่มีการทำบัญชีรายรับ-จ่าย ขาดการวางแผนชีวิต มีรายได้น้อย แต่รายจ่ายมาก
“ผมจะยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเสมอ โดยมองเรื่องรายได้และรายจ่ายให้สมดุล คิดไว้เผื่ออนาคต เพราะฉะนั้นบางครั้งตนเองต้องสมถะ ต้องพอประมาณ ฉะนั้นหากเราทำให้ดี จะไม่เจอปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจแน่นอน ซึ่งนอกจากจะใช้กับตนเองแล้ว ยังได้นำไปแนะนำพี่น้องชาวนาด้วย”
คุณูปการด้านการวิจัยและพัฒนาข้าวไทยที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงวางรากฐานไว้ให้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ หากทุกคนน้อมนำมาปฏิบัติ ต่อยอด จะช่วยเสริมสร้างการพัฒนาให้เจริญรุ่งเรือง และข้าวไทยจะไม่หายไปจากวิถีชีวิตและจิตวิญญาณของความเป็นไท .