- Home
- Thaireform
- ข่าวเด่น นโยบายสาธารณะ
- ทีดีอาร์ไอชี้ขยายสวัสดิการประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบ ไม่ต้องใช้เงินมาก
ทีดีอาร์ไอชี้ขยายสวัสดิการประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบ ไม่ต้องใช้เงินมาก
ยันแรงงานนอกระบบยอมจ่ายเงินสมทบ 50-100 บาท/เดือน ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง เปิดผลวิจัย ชี้ขยายสวัสดิการประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบ ไม่ต้องใช้เงินมากก็ทำสวัสดิการได้ถึง 5 อย่าง แค่มีชุดสิทธิประโยชน์ที่จูงใจ รัฐร่วมจ่าย 50:50
ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการเกษตร สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ ถึงงานวิจัยเรื่อง “แนวทางการขยายความคุ้มครองโดยรัฐร่วมจ่ายในประกันสังคมมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533” ว่า เพื่อศึกษาสวัสดิการที่แรงงานนอกระบบต้องการ ศึกษาดูว่าความสามารถจ่ายเท่าไหร่ และศึกษาดูว่าจะจัดสวัสดิการอย่างไรถึงจะยั่งยืนได้
สำหรับงานวิจัยชิ้นนี้ ดร.วิโรจน์ กล่าวว่า ได้นำสวัสดิการ 5 ด้าน ได้แก่ การชดเชยรายได้กรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต บำนาญ และคลอดบุตร มาให้แรงงานนอกระบบเรียงความสำคัญ (ไม่รวม ว่างงาน และสงเคราะห์บุตร) ซึ่งการทำการสำรวจความคิดเห็นกลุ่มตัวอย่างแรงงานนอกระบบ อาทิ แท็กซี่ เกษตรกร กลุ่มรับงานไปทำที่บ้าน ฯลฯ จำนวน 3,093 คน เป็นชาย 1,525 คน หญิง 1,568 คน
ผลสำรวจพบว่า ทั้งชายและหญิงมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับลำดับสิทธิประโยชน์ในทิศทางเดียวกัน กลุ่มตัวอย่างให้ความสำคัญกับการชดเชยรายได้เมื่อต้องนอนโรงพยาบาล 2-3 วันขึ้นไปมากที่สุด รองลงมือ คือ เงินบำนาญผู้สูงอายุ และเงินเลี้ยงชีพกรณีทุพพลภาพ เงินทดแทนกรณีเสียชีวิต และคลอดบุตร ตามลำดับ
ส่วนความสามารถในการจ่ายเบี้ยประกันสังคม/เงินสมทบ พบว่า คนส่วน ใหญ่จ่ายได้ระหว่าง 50-100 บาทต่อเดือน ถ้าเป็นไปได้เกษตรกรขอจ่ายที่ 50 บาทต่อเดือน ส่วนกลุ่มแท็กซี่ในเมืองและแรงงานนอกระบบในจังหวัดส่วนใหญ่ บอกว่า จ่ายได้ที่ 100 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ยังมีคนอีกจำนวน หนึ่ง (ไม่ถึงครึ่งคนที่สำรวจ) ระบุว่า หากสวัสดิการเพิ่มขึ้น ก็ยินดีจ่ายเพิ่ม แต่ไม่เกินเดือนละ 200-300 บาท
ผอ.วิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการเกษตร ทีดีอาร์ไอ กล่าวถึงเป้าหมายรัฐ คือการสร้างระบบสวัสดิการมาคุ้มครองให้คนที่ยังไม่มีสวัสดิการ ก็ควรเลือกระบบที่สามารถจูงใจให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาสมัครร่วมให้มากที่สุด เพราะเชื่อว่า ถ้าระบบไม่จูงใจให้คนเข้าร่วม แต่เมื่อคนกลุ่มนี้เดือดร้อน รัฐก็ต้องเข้ามาดูแลอยู่ดี
"เมื่อคนเข้ามาร่วมมากๆ ก็ควรเก็บเบี้ยในอัตราน้อยๆ เช่น เดือนละไม่เกิน 50-100 บาทต่อเดือน และต้องดูด้วยว่า ถ้ามีเงิน 100 บาทต่อเดือนจะเพียงพอสำหรับสิทธิประโยชน์ขนาดไหน ซึ่งงานวิจับ พบว่า ในบรรดาชุดสิทธิประโยชน์ที่กลุ่มแรงงานนอกระบบเลือกนั้น เงินสมทบเดือนละ 100 บาทเพียงพอสำหรับจัดทำสิทธิประโยชน์ชุดที่ค่อนข้างดี"
ส่วนความยั่งยืนของโครงการฯ การศึกษาพบว่า อาศัยการจ่ายเบี้ยสมทบเดือนละ 100 บาท อยู่ได้อย่างน้อย 30 ปี โดยมีเงื่อนไข สัดส่วนแรงงานนอกระบบที่เข้าร่วมโครงการจะต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำได้โดยการให้สิทธิประโยชน์ที่จูงใจ
ดร.วิโรจน์ กล่าวถึงโครงการประชาวิวัฒน์ ที่ให้ผลประโยชน์ต่ำกว่ามาก และไม่มีบำนาญ แตกต่างจากผลการศึกษา เพราะว่า ได้ใช้แนวคิดแบบประกันสังคม เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ไม่ได้คำนวณแบบบริษัทประกัน หรือคำนวณแบบบัญชีรายบุคคล และได้ใช้การคำนวณโดยใช้ความเสี่ยงเฉลี่ยของประชากร ขณะที่สำนักงานประกันสังคมใช้ความเสี่ยงสูงสุดในอดีตมาเป็นฐานการคำนวณ
กรณีการขยายประกันสังคมไปสู่แรงงานนอกระบบแบบสมัครใจนั้น ดร.วิโรจน์ กล่าวด้วยว่า รัฐควรรับภาระจ่ายสมทบร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายของโครงการที่ให้ชุดสิทธิประโยชน์พื้นฐาน (รัฐกับประชาชนจ่ายฝ่ายละ 50 บาทต่อเดือน) กรณีนี้ต้องแก้กฎหมายประกันสังคมให้มีความยืดหยุ่น และในระยะยาวกองทุนนี้ถูกออกแบบมาให้อยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่ระยะแรกกองทุนต้องพึ่งกองทุนประกันสังคมใหญ่อยู่บ้าง ทั้งบุคลากร เครื่องมือ และฐานข้อมูล