รพ.กรุงเทพแจ้ง ตลท.ลั่นสู้ถึงศาลสูงทุกคดี โครงการไลฟ์พริวิเลจ “ล้านบาท..รักษาทุกโรค”
ฝ่ายบริหารโดยอาศัยความเห็นของที่ปรึกษาทางกฎหมายของบริษัทฯและบริษัทย่อย จึงจะใช้สิทธิตามกฎหมายยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแพ่งสำหรับคดีดังกล่าวทุกคดี เพื่อให้ศาลสูงได้พิจารณาและพิพากษาคดีให้เป็นที่ยุติและเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินการต่อไป
กรณีสมาชิกโครงการไลฟ์พริวิเลจ ได้ยื่นฟ้อง บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือโรงพยาบาลกรุงเทพ ที่ได้ยกเลิก "โครงการไลฟ์พริวิเลจ คลับ" ที่เป็นแพคเกจให้สิทธิพิเศษสมาชิกรักษาพยาบาลตลอดชีวิตนั้น (อ่านประกอบ:จุดจบของโครงการ Priviledge Card... “ล้านบาท..รักษาทุกโรค”)
กระทั่ง 28 ธ.ค. 2560 ศาลแพ่ง ได้มีคำพิพากษาให้ สมาชิกโครงการไลฟ์ พริวิเลจ คลับ ได้รับสิทธิการรักษาพยาบาลตลอดชีพคืน เนื่องจากศาลเห็นว่า รพ.กรุงเทพ โดย BDMS จำเลย ไม่มีสิทธิ์บอกเลิกสัญญาเนื่องจากไม่เข้าข่ายลักษณะการประกันภัย จึงให้ดำเนินโครงการต่อไป ซึ่งต่อมากรพ.กรุงเทพ เลือกปฏิบัติตามคำพิพากษาเป็นบางส่วน ทำให้โจทก์ 6 คน นำโดยนางจุฑาทิพย์ สนิทพันธุ์ จึงได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลบังคับคดี และพิจารณาออกหมายจับนั้น โดยศาลจะมีคำสั่งวันที่ 17 พฤษภาคม 2561
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งงบการเงินไตรมาสที่ 1/2561 (สอบทานแล้ว) ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ความน่าสนใจในรายงานการสอบทานข้อมูลทางการเงินระหว่างกาล ของผู้สอบบัญชีรับอนุญาต พบว่า ได้มีการให้ข้อมูลและให้ข้อสังเกต ที่ทำให้เห็นความคืบหน้าโครงการไลฟ์พริวิเลจได้เป็นอย่างดี ดังนี้
“มีโครงการให้การรักษาพยาบาลโดยคิดค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยให้แก่สมาชิกที่ได้จ่ายค่าสมาชิกล่วงหน้าเป็นระยะเวลาตลอดชีพ ซึ่งบริษัทฯ และบริษัทย่อยได้ยุติโครงการดังกล่าวแล้วด้วยเหตุผลทางกฎหมายเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2560 และ 2 กุมภาพันธ์ 2560 ตามลำดับ
บริษัทฯ และบริษัทย่อยได้บันทึกหนี้สินไว้ในงบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 โดยถือตามตัวเลขจำนวนเงินที่คาดว่าจะจ่ายคืนและชดเชยให้แก่สมาชิกจากการยุติโครงการในปี 2560 เป็นจำนวนประมาณ 964 ล้านบาท (เฉพาะบริษัทฯ ประมาณ 820 ล้านบาท) ซึ่งในระหว่างปี 2560 สมาชิกบางส่วนในงบการเงินรวมจำนวน 182 ราย จาก 334 ราย และในงบการเงินเฉพาะกิจการจำนวน 151 รายจาก 282 รายได้ตกลงยอมรับข้อเสนอและรับเงินจากบริษัทฯ และบริษัทย่อยแล้ว ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 หนี้สินจากการยุติโครงการให้การรักษาพยาบาลตลอดชีพ ซึ่งคำนวณจากจำนวนเงินค่าสมาชิกที่ต้องจ่ายคืนและเงินชดเชยที่อาจต้องจ่ายให้แก่อดีตสมาชิกที่ยังไม่ตอบรับข้อเสนอในงบการเงินรวมมียอดคงค้างจำนวนประมาณ 438 ล้านบาท (เฉพาะบริษัทฯประมาณ 380 ล้านบาท)
ในระหว่างปี 2560 มีอดีตสมาชิกโครงการดังกล่าวบางส่วนที่ยังไม่ได้ตอบรับข้อเสนอ ได้ยื่นฟ้องบริษัทฯและบริษัทย่อยต่อศาลเพื่อให้บริษัทฯและบริษัทย่อยดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไปและอดีตสมาชิกอีกส่วนหนึ่งได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัทฯและบริษัทย่อย
ต่อมาในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนธันวาคม 2560 ศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวอดีตสมาชิกที่ฟ้องคดีบางส่วน โดยมีสาระสำคัญคือให้บริษัทฯ ทำการรักษาพยาบาลอดีตสมาชิกในอัตราปกติแบบไม่มีส่วนลด และบางส่วนให้สมาชิกใช้สิทธิตามโครงการฯ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นโดยศาลได้ให้อดีตสมาชิกที่ได้รับการคุ้มครองชั่วคราวตามคำสั่งศาลทำสัญญาประกันต่อศาลว่าตกลงยินยอมรับผิดชดใช้ค่ารักษาพยาบาลดังกล่าวแก่บริษัทฯ หากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าบริษัทฯ มีสิทธิยุติโครงการดังกล่าว
ทั้งนี้บริษัทฯได้บันทึกอดีตสมาชิกที่มารับการรักษาพยาบาลและยังมิได้ชำระค่ารักษาพยาบาลดังกล่าวเป็นลูกหนี้ค้างจ่ายไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ในเดือนธันวาคม 2560 และเดือนมกราคม ถึงเมษายน 2561 ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาในคดีที่อดีตสมาชิกที่ฟ้องคดีบางส่วน โดยให้บริษัทฯและบริษัทย่อยปฏิบัติตามข้อตกลงโครงการดังกล่าวต่อไป และในเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเมษายน 2561 ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาในคดีที่อดีตสมาชิกฟ้องคดีอีกบางส่วน โดยให้บริษัทฯปฏิบัติตามข้อตกลงของโครงการดังกล่าวต่อไป และหากบริษัทฯไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงของโครงการดังกล่าวต่อไปได้ ให้บริษัทฯจ่ายชดใช้ค่าสินไหมทดแทน และคดีบางส่วนยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลแพ่ง
อย่างไรก็ตาม ที่ปรึกษากฎหมายของบริษัทฯและบริษัทย่อย มีความเห็นว่า จากข้อเท็จจริงและบทบัญญัติของกฎหมาย สัญญาดังกล่าวเข้าลักษณะของสัญญาประกันภัยและการยุติโครงการดังกล่าวเป็นการดำเนินการที่ชอบด้วยกฎหมาย และการอุทธรณ์ของบริษัทฯและบริษัทย่อยมีแนวโน้มที่จะชนะคดีได้ ดังนั้นฝ่ายบริหารโดยอาศัยความเห็นของที่ปรึกษาทางกฎหมายของบริษัทฯและบริษัทย่อย จึงจะใช้สิทธิตามกฎหมายยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแพ่งสำหรับคดีดังกล่าวทุกคดี เพื่อให้ศาลสูงได้พิจารณาและพิพากษาคดีให้เป็นที่ยุติและเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้คดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลสูง ซึ่งผลของคดียังมีความไม่แน่นอน ดังนั้นบริษัทฯและบริษัทย่อยจึงยังไม่สามารถประเมินผลกระทบได้ในขณะนี้
ทั้งนี้บริษัทฯและบริษัทย่อยได้บันทึกอดีตสมาชิกที่มารับการรักษาพยาบาลและยังมิได้ชำระค่ารักษาพยาบาลโดยอาศัยคำพิพากษาของศาลแพ่งดังกล่าวเป็นลูกหนี้ค้างจ่ายไว้จนกว่าศาลสูงจะมีคำพิพากษา”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
สมาชิกบัตรพรีเมี่ยมรพ.กรุงเทพเตรียมยื่นคำร้องใหม่ต่อศาลแพ่งคุ้มครองชั่วคราว
สมาชิก"พรีเมี่ยม-พริวิเลจ"ตัวตั้ง กก.สู้ "รพ.กรุงเทพ-พญาไท2"หลังยกเลิกสัญญารักษาตลอดชีพ
ลูกค้า 'พรีเมี่ยมการ์ด'รพ.พญาไท 2 โวยถูกเลิกสัญญา ทั้งที่จ่าย 1.5 ล.รักษาตลอดชีพ