สถานการณ์ ‘ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ’ คนหนึ่งเครียด อีกคน‘กินก๋วยเตี๋ยวเนื้อ’
จับสถานการณ์ 2 คดีหยุดประเทศไทย ‘ยิ่งลักษณ์’ จำนำข้าว เทียบ‘ทักษิณ’ซุกหุ้น ก่อนศาลฎีกาฯตัดสิน 25 ส.ค.60 กับ วันแถลงปิดคดี -ลงมติศาลรัฐธรรมนูญ 3 ส.ค.44 คนหนึ่งโพสต์เฟซบุ๊กสั่งแฟนคลับหยุดเคลื่อนไหว คนหนึ่ง ผ่อนคลาย กินก๋วยเตี๋ยวเนื้อ บริวาร ผู้สนับสนุนเคลื่อนไหวคึกคัก
ถ้าไม่นับข้อเท็จจริงในคดีที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตกเป็นจำเลย ในคดีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดตัดสินวันที่ 25 ส.ค.2560 กับ คดีปกปิดบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(คณะกรรมการป.ป.ช.) หรือ คดีซุกหุ้น ของทักษิณ ชินวัตร ที่ขึ้นศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนตัดสินวันที่ 3 ส.ค.44
จับอาการในสถานการณ์ห้วงเวลาสำคัญ ก่อนตัดสินถึงวันตัดสิน ‘น้องสาว’ กับ ‘พี่ชาย’ แตกต่างกันชัดเจน คนหนึ่งออกอาการเครียด กองเชียร์ขยับเนื้อขยับตัวลำบาก จนต้องออกมาร้องผ่านสื่อหลายครั้ง อีกคนหนึ่ง ผ่อนคลาย ผู้สนับสนุนทั้งฐานมวลชน เจ้าหน้าที่รัฐ ระดมให้กำลังใจคึกคัก
คดีจำนำข้าว
เมื่อช่วงเช้าวันที่ 24 ส.ค. 2560 ก่อนวันตัดสิน 1 วัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ เผยแพร่ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ Yingluck Shinawatra ขอแสดงความห่วงใยประชาชนที่จะเดินทางมาให้กำลังใจในวันนัดฟังคำพิพากษาคดีดังกล่าวในวันที่ 25 ส.ค. 2560 ว่า "ไม่ต้องการให้เดินทางมาที่ศาลฎีกาฯในวันดังกล่าว เพื่อป้องกันความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาอันไม่คาดคิดจากผู้ที่ไม่หวังดีต่อบ้านเมือง และขอให้กำลังใจ โดยการรับฟังข่าวสารอยู่ที่บ้าน เพื่อความไม่สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาอันไม่คาดคิดจากผู้ที่ไม่หวังดีต่อบ้านเมือง"
ก่อนหน้านี้วันที่ 1 ส.ค.2560 น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางแถลงปิดคดีที่ศาลฎีกาฯ นอกจากต่อสู้ในข้อกฎหมายแล้วยังกล่าวถ้อยคำเพื่อขอให้ศาลฎีกาฯพิจารณาพิพากษายกฟ้อง ระบุว่า
“ฉันรู้ดีว่า ดิฉันเป็นเหยื่อของเกมการเมืองที่ลึกซึ้ง ดิฉันจึงหวังพึ่งศาลสถิตยุติธรรม ได้โปรดพิจารณาบนพื้นฐานข้อเท็จจริง และสภาวะแวดล้อม ในขณะที่ดิฉันปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่การตั้งสมมติฐาน ที่ใช้สภาวะแวดล้อมของปัจจุบันที่เปลี่ยนไปแล้ว มาตัดสินการดำเนินการ ของดิฉันในอดีต ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิด แต่สิ่งที่ดิฉันทำ คือ การใช้ประสบการณ์ของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่เกิดในต่างจังหวัด มีโอกาสได้รับรู้ สัมผัสความทุกข์ยากแสนสาหัสของชาวไร่ชาวนา ซึ่งประเทศนี้เคยเรียกพวกเขาว่า เป็นกระดูกสันหลังของชาติ และเรียกร้องให้คนไทยทุกคน เกื้อหนุนดูแล และดิฉันก็ได้ทำแล้วในโครงการรับจำนำข้าว เป็นผลพิสูจน์อย่างเป็นรูปธรรมแล้วว่า ในช่วงที่มีโครงการรับจำนำข้าว ชาวนามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลูกหลานมีโอกาสเรียนต่อ นับเป็นความภูมิใจในชีวิต ที่ครั้งหนึ่ง ดิฉันได้มีโอกาสผลักดันนโยบายนี้ ให้กับชาวนา
แม้การผลักดันนโยบายสาธารณะ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชาวนาครั้งนี้จะทำให้ดิฉันต้องเจ็บปวดก็ตาม ในการที่จะต้องอดทนต่อสู้คดีกับฝ่ายโจทก์ ที่พยายามบิดเบือน และกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม ดิฉันก็จะอดทนมุ่งมั่นต่อไป เพื่อหวังว่ารัฐบาลต่อไปในอนาคต จะได้สามารถนำนโยบายสาธารณะมาสู่ประชาชนพี่น้องเราจะได้ปลดหนี้สิน จะได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกับเขาบ้างค่ะ
สุดท้ายนี้ ดิฉันเห็นว่าก่อนที่ศาลจะตัดสินคดีนี้ ดิฉันใคร่ขอวิงวอนศาลได้โปรดพิจารณา พิพากษาคดีนี้ตามข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและพยานหลักฐานที่เข้าสู่สำนวนโดยชอบและโดยสุจริต ไม่รับฟังการชี้นำจากฝ่ายใด ๆ แม้แต่หัวหน้า คสช. ผู้กุมชะตาและอำนาจรัฐ ที่พูดชี้นำคนในสังคมเกี่ยวกับคดีของดิฉัน เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา ว่า ถ้าเรื่องนี้ไม่ผิดแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาได้อย่างไร ซึ่งคำพูดนี้ เป็นการชี้นำ เสมือนหนึ่งว่า มีการกระทำความผิดแล้ว ทั้ง ๆ ที่ศาลที่เคารพ ยังไม่ได้ตัดสิน
ดิฉันเชื่อในคำกล่าวที่ว่า “ศาลเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน” ดิฉันจึงขอความเมตตาต่อศาล ได้โปรดพิจารณา พิพากษา ยกฟ้องโจทก์ด้วยค่ะ”
ก่อนหน้านี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินสายทำบุญในวัดนับสิบแห่งในหลายจังหวัด
คดีซุกหุ้น
หลังจากไต่สวนในศาลรัฐธรรมนูญ 7 นัด กินเวลายาวนานหลายเดือน ‘ทักษิณ’ แถลงปิดคดีด้วยวาจา วันที่ 18 มิ.ย. 2544 ถนนทุกสายมุ่งสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่เวลา 05.30 น. เหล่านายทหารกว่า 200 นาย จาก 4 เหล่าทัพ อาทิ พล.อ.อัครเดช ศศิประภา รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด (รอง ผบ.สส.) พล.ร.อ.ประเสริฐ บุญทรง ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) พล.อ.นิพนธ์ ภารัญนิตย์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (รอง ผบ.ทบ.) พล.อ.อ.ระเด่น พึ่งพักตร์ ผบ.หน่วยบัญชาการฝึกศึกษา พล.ต.ต.อนันต์ ภิรมย์แก้ว ผูบัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พล.อ.ต.ธิบดี เพ็งฉุย ประธานนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 9 พล.ต.ไตรรงค์ อินทรทัต เพื่อนนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 พล.ต.อภิชัย ทรงศิลป์ ประธานเตรียมทหารรุ่น 10 พล.ต.พรชัย กรานเลิศ ประธานนักเรียนเตรียมทหาร รุ่น 21 ตื่นเช้าเข้ามอบดอกไม้ให้กำลังใจ ‘ทักษิณ’ ที่บ้านรับรองจันทร์ส่องหล้า ถนนจรัญสนิทวงศ์ 69 ก่อนที่ ‘ทักษิณ’จะเดินทางไปแถลงปิดคดีในช่วงบ่าย
ขณะที่บรรยากาศบริเวณศาลรัฐธรรมนูญ ถ.จักรเพชร คึกคักตั้งแต่เช้า เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองพลาธิการและกองสรรพาวุธ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำเครื่องตรวจวัตถุระเบิดมาติดตั้งบริเวณประตูด้านในของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อตรวจวัตถุระเบิดและอาวุธปืน สำหรับบุคคลที่จะเข้าไปในศาลรัฐธรรมนูญ และยังจัดกำลังรักษาความปลอดภัยทั้งด้านนอกและด้านใน กลุ่มประชาชนสาขาอาชีพต่างๆ รวมทั้งในละแวกใกล้เคียง เริ่มทยอยเดินทางไปให้กำลังใจ ‘ทักษิณ’ ก่อนไปแถลงปิดคดีได้หลบผู้สื่อข่าว ไปแวะกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านเจ้าประจำที่ห้างสรรพสินค้าเพนนินซูล่า ย่านราชประสงค์กับคุณหญิงพจมาน จากนั้นเวลา 12.20 น. จึงเดินทางไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ
หลังจากนั้น 3 วัน ศาลรัฐธรรมนูญ กำหนดให้ทั้งสองฝ่าย ส่งคำแถลงปิดคดีเป็นหนังสือเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2544 และประชุมนัดสุดท้ายเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2544 เป็นวันลงมติ บรรยากาศที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญมีความเคลื่อนไหวตั้งแต่ยังไม่ถึงตีหนึ่ง เมื่อมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.พระราชวัง นับร้อยนายเดินทางมาเตรียมความพร้อมรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที และเรียกกำลังมาสมทบในช่วง 8 โมงเช้า เวลา 9 โมงเช้ากลุ่มประชาชน เริ่มทยอยเดินทางมาฟังคำตัดสินมากขึ้น เช่นกลุ่มชุมชน 70 ไร่จากคลองเตย ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศนับร้อยชีวิต พร้อมๆกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ทะยอยเดินทางมาประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง กระทั่ง 16.30 น. นายประเสริฐ นาสกุล ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ออกมาแถลงว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญลงมติด้วยเสียง 8 ต่อ 7 เสียงว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ไม่มีความผิด อยู่ในตำแหน่งต่อไป
เมื่อเทียบในบริบทแวดล้อม ในช่วงตัดสินคดีซุกหุ้น ‘ทักษิณ’ ดำรงตำแหน่งนายกฯ รัฐบาลไทยรักไทย กุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ขณะที่ในช่วงตัดสินคดีจำนำข้าว อยู่ในช่วง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กุมอำนาจรัฐ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ‘ยิ่งลักษณ์’ไร้อำนาจบริหาร มีชนักปักหลัง
กระนั้น ผลสุดท้าย จะรอดทั้งคู่หรือไม่? คงต้องติดตาม
อ่านประกอบ:
ยกคำกล่าว'สัญญา ธรรมศักดิ์'แจงศาล! แถลงปิดคดีข้าว‘ปู’ฉบับเต็ม “ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิด"