ส่องบรูไน ดูกิจกรรม'บันดาร์ กูเชอเรีย 'เปลี่ยนเมือง-ถนนให้เป็นของทุกคน
สำรวจสังคม วัฒนธรรมชาวบรูไน ผ่านกิจกรรมสำคัญในวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือที่พวกเขาเรียกว่า "บันดาร์ กูเชอเรีย" วันที่เปลี่ยนให้ถนนและเมืองเป็นของทุกคนในครอบครัว
“บรูไน เมืองที่ไม่มีคนเดินถนน” คือสิ่งที่เพื่อนชาวบรูไนแท้ๆ บอกกับผม ใช่เเล้วครับ สิ่งที่ค่อนข้าง เซอร์ไพรส์มากๆ เมื่อไปถึงที่บรูไน คือ บนฟุตบาทแทบจะไม่มีคนเดินเลย เพื่อนชาวบรูไนบอกว่า คนที่นี่ไม่นิยมเดินกัน แม้ว่าจะไปร้านที่ห่างไปอีกสามบล็อกหรือสักหนึ่งกิโลเมตร ก็จะขับรถไป อาจด้วยเหตุผลว่า หนึ่งที่นี่อากาศร้อน แดดที่แผดเผาตลอดเวลา เนื่องจากเป็นประเทศที่อยู่ตรงแนวเส้นศูนย์สูตรพอดี อีกประการคือ ราคาค่าน้ำมันที่แสนถูก เพียงลิตรละ 15 บาท (ซึ่งเราจะมาคุยถึงเรื่องนี้กันในตอนถัดไป)
ในทุกๆ วันอาทิตย์ ตั้งแต่เช้าตรู่ราว 6.30 น. ถึง 10.00น. ถนนใจกลางตัดผ่านเมืองหลวงบันดาร์เสรีบากาวัน (ระยะทางราว5-6กิโลเมตร)จะปิดห้ามรถทุกชนิดผ่านเพื่อเปิดให้เป็นพื้นที่สำหรับครอบครัว พักจากหน้าจอมือถือ ออกไปทำกิจกรรมร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการนำจักรยานมาปั่นหรือจะมาหาเช่าที่นี่ก็ได้ พาเด็กๆ มาวิ่ง นั่งทำงานศิลปะเล็กๆ ด้วยกัน กิจกรรมสันทนาการอื่นๆ อีกมากมาย นับช่วงเวลาของคนครอบครัว (วันครอบครัวอย่างเป็นทางการของบรูไนจะอยู่ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมของทุกปี) คนบรูไนเรียกกิจกรรมนี้ว่า BandarKu Ceria (บันดาร์กูเชอเรีย) กิจกรรมนี้เพิ่งจัดขึ้นเมื่อช่วงตุลาคมปีที่เเล้วเอง เพื่อโปรโมทประเด็นสุขภาพ สังคม ครอบครัว และได้รับการตอบรับจากคนบรูไนอย่างล้นหลาม จนสามารถขยายไปยังบรรดาเมืองอื่นๆ อีกสามแห่งในบรูไนได้ โดยใช้ถนนเส้นหลักของเมือง สำหรับกิจกรรมในลักษณะเดียวกัน
ในขณะที่บรูไนเป็นประเทศที่บ้านทุกหลังมีรถไม่ต่ำกว่าสามคัน หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับจำนวนสมาชิกครอบครัว หรือพูดง่ายๆ คือ หนึ่งคนหนึ่งคันนั่นเอง (บรูไนมีประชากรราว4 แสนคน) ฉะนั้นวันอาทิตย์จึงเป็นโอกาสดีๆ คล้ายกับทุกสัปดาห์ของที่นี่คือ คาร์ฟรีเดย์ และเป็นโอกาสที่ครอบครัวจะได้ทำกิจกรรมร่วมกัน หลังจากลุยงานมาตลอดทั้งสัปดาห์แล้ว
มีงานศึกษาจำนวนมากเห็นไปในทางเดียวกันว่า การสร้างพื้นที่สาธารณะให้คนในเมืองนั้นๆ ได้มีปฏิสัมพันธ์กันย่อมส่งผลดีต่อเมือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพของชาวเมือง การสร้างความรู้สึกร่วมของชุมชน (sense of public) ผู้คนและวัฒนธรรม ทั้งยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นได้ด้วยเช่นกัน
การศึกษาของ โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ (UN-HABITAT) ในประเด็นเรื่องการสร้างพื้นที่ถนนให้เป็นพื้นที่สาธารณะในเมืองที่มีความมั่งคั่ง โดยงานศึกษานี้พบว่า มีความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างถนนที่มั่งคั่งนั้นมาจากปัจจัยพื้นฐานสำคัญอย่างพื้นที่สาธารณะ
มีแนวคิดหนึ่งบอกว่า การที่มนุษย์เราได้อยู่ในพื้นที่ที่พบปะผู้คนแปลกหน้า เราจะมีการเคารพสิทธิกันมากขึ้น ยกตัวอย่าง หากเรามาวิ่งที่สวนสาธารณะบ่อยๆ เราจะเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตาว่า มีใครบ้างที่วิ่งร่วมกับเรา เราจะเริ่มมีการทักทายกัน มีการทำความรู้จักกัน และนำไปสู่การในเกียรติซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ เพราะมีพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ แต่ถ้าหากไม่มีพื้นที่เหล่านี้เลย เราก็จะไม่มีจิตสำนึกทางสังคม
ไม่ใช่แค่บรูไนเท่านั้นมีความคิดนี้ ในอาเซียนอย่าง สิงคโปร์ แม้กระทั่งจากาตาร์ อินโดนีเซีย (ซึ่งมีสภาพจราจรไม่ต่างหรือบางทีหนาแน่นกว่ากรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ) ก็มีนโยบายที่จะให้เช้าวันอาทิตย์เป็นช่วงเวลาปลอดรถ
ความน่าสนใจของไอเดียนี้ ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่ได้ใหม่มาก โดยเฉพาะในหมู่ประเทศตะวันตก ที่มีการสร้างพื้นที่แบบนี้มานาน ที่น่าสนใจในประเทศเอเชียที่กำลังพัฒนาและนิยมการใช้รถยนต์อย่างมาก กับมุมมองของการที่เมืองปลอดรถ แม้เพียงชั่วคราว คือการเปิดโอกาสให้ชาวเมือง โดยเฉพาะเด็กๆ ที่วันปกตินั่งติดในรถได้ลงมาสัมผัสกับถนนที่พวกใช้ เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนกับเมืองได้เป็นอย่างดี และโอกาสนี้ยังถือเป็นโอกาสที่พ่อแม่เองก็จะสอนลูกๆ เช่น เรื่องจราจร กฎจราจร ผ่านการได้ลองปั่นจักรยานด้วยตัวเอง เป็นต้น
นอกจากนี้ การเปิดพื้นที่โดยใช้ที่สาธารณะที่คนคุ้นชินแบบนี้ยังสร้างกิจกรรมร่วมกันของชาวเมือง ที่ไม่อาจเกิดขึ้นในสำนึกของการไปเดินในห้างสรรพสินค้าที่ทุกคนต่างมุ่งไปตามเป้าความสนใจของตัวเอง และสำนึกที่หวงแหนอาจไม่มากเท่าเพราะเราคิดว่า ห้างสรรพสินค้าคือพื้นที่ของคนคนหนึ่ง ไม่ใช่พื้นที่ของทุกคนร่วมกันแบบที่พื้นที่ของเมือง ซึ่งคือสาธารณะที่มอบให้
ในเมืองที่เต็มไปด้วยรถ คงจะดีไม่น้อย ถ้ามีสักวันหนึ่งที่ปล่อยให้บางส่วนของเมืองได้พัก และเปิดเป็นพื้นที่ของทุกคนหรือแม้แต่การทำให้เมืองมีพื้นที่สาธารณะที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ย่อมเป็นสิ่งที่นักกำหนดนโยบายต้องคิดเป็นอันดับแรกๆ เพื่อทำให้เมืองไม่ใช่แค่เพียงพื้นที่แสวงหาผลกำไรทางธุรกิจ แต่เป็นเมืองที่น่าอยู่ของทุกคน