วิษณุ เครืองาม เปิดข้อดีเลือกเป็นผู้พิพากษาอาวุโส
ข้อดีของการเลือกเป็นผู้พิพากษาอาวุโสคือ ภาระงานที่ลดน้อยลงตามกำลังสุขภาพ แต่ผู้พิพากษาอาวุโสไม่สามารถดำรงตำแหน่งบริหารงานในศาลได้ เช่น การเป็นอธิบดีศาลต่างๆ เป็นต้น เมื่อมีอายุครบ 65 ปี ไม่ว่าจะเลือกหรือไม่ในการเป็นผู้พิพากษาอาวุโสตอนที่อายุ 60 ปี แต่เมื่ออายุ 65 ปี จะต้องเข้าสู่ระบบผู้พิพากษาอาวุโสเหมือนกันหมด แต่ต้องประเมินสมรรถภาพและประสิทธิภาพอีกครั้งหนึ่ง
วันที่ 30 มี.ค.สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีวาระการประชุม ครั้งที่ 22/2560 โดยมีวาระการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ ร่างพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ ทั้งนี้ เมื่อ สนช.รับหลักการของร่างกฎหมายทั้งสองฉบับแล้ว กำหนดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาคณะหนึ่งมีจำนวน 19 คน ทำหน้าที่พิจารณาร่างกฎหมาย เปิดให้สมาชิก สนช.แปรญัตติภายใน 7 วัน และมีกรอบเวลาการดำเนินงานภายใน 60 วัน
ตอนหนึ่ง นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แถลงถึงการเสนอกฎหมายว่า คณะรัฐมนตรีของเสนอร่างพระราชบัญญัติ 2 ฉบับ เกี่ยวกับราชการศาลยุติธรรม ประกอบด้วย ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และอีกร่างพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึงเป็นกฎหมายที่เกี่ยวเนื่องกัน
สำหรับหลักการ ร่างพระราชบัญญัติระเบียบฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... นั้น มีว่า แก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 ในประเด็นดังต่อไปนี้
1.กำหนดให้ข้าราชการตุลากรพ้นจากราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณที่ผู้นั้นมีอายุครบ 70 ปี บริบูรณ์ ซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มความในมาตรา 8/1 ขึ้นมาใหม่
2.กำหนดให้ข้าราชการตุลาการพ้นจากตำแหน่งเมื่อพ้นจากราชการตามมาตรา 8/1 ที่เพิ่มขึ้นใหม่ดังกล่าว
ซึ่งเท่ากับมีการแก้ไขเพิ่มเติมความในมาตรา 32 วรรค 1 (3)
ส่วนร่างพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... นั้น มีหลักการว่า ให้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส พ.ศ. 2542 ดังกล่าว ในประเด็นดังต่อไปนี้
1. กำหนดให้ข้าราชการตุลาการที่มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปอาจขอไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสได้ ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมความในมาตรา 6 วรรค 1 นั้นเอง
2.กำหนดให้ช้าราชการตุลาการ ซึ่งมีอายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ ในปีงบประมาณใด พ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ เมื่อสิ้นปีงบประมาณนั้นและให้ไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสจนกว่าจะพ้นจากข้าราชการตามกฎหมายกว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มความในมาตรา 6 วรรค 1 และยกเลิก มาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2551
3.การกำหนดให้ กต. จัดให้มีการประเมินสมรรถภาพในการปฎิบัติหน้าที่ของข้าราชการตุลาการ ซึ่งจะมีอายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ อันนี้การแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 9
และประเด็นสุดท้ายคือกำหนดห้ามให้ผู้พิพากษาอาวุโสได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหรือทำการแทนในตำแหน่ง กำหนดไว้ในมาตรา 8 , 9 ,10 , 13 แห่งรัฐธรรมนูญศาลยุติธรรมซึ่งเท่ากับเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมในมาตรา 10 นั้นเอง
"เหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติทั้ง 2 นั้น เนื่องจากมีการเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน ระบบการรับราชการและระบบเกษียณอายุของผู้พิพากษานั้น แตกต่างจากระบบเกษียณอายุของข้าราชการอื่นๆ ท่านทั้งหลายอาจจะเคยชินกับข้าราชการ ไม่ว่า ตำรวจ ทหาร พลเรือน รับราชการมากระทั่งครบ 60 ปี และเกษียณลงไปในปีที่ 60 นั้น แต่สำหรับข้าราชการบางประเภทอาจจะมีระบบการเกษียณอายุที่แตกต่างกันออกไป โดยถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ข้าราชการครู อาจมีการเกษียณอายุเมื่ออายุครบ 65 ปี ซึ่งมีกฎหมายรองรับ หรือข้าราชการพลเรือนในพระองค์มีระบบการพ้นจากราชการที่แตกต่างกันออกไป
ข้าราชการตุลาการหรือผู้พิพากษา และข้าราชการอัยการ มีระบบการเกษียณอายุที่แตกต่างกันออกไป กล่าวคือ ผู้พิพากษาและอัยการนั้นจะเกษียณอายุเมื่อครบ 70 ปี อันเป็นการแตกต่างจากข้าราชการตำรวจ ทหาร พลเรือน ระบบนี้ใช้มาแล้วระยะหนึ่ง เนื่องจากเวลาที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญถึง 2 -3 ครั้ง และได้มีการนำเอาเรื่องการเกษียณอายุของผู้พิพากษและอัยการใส่เอาไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย จึงทำให้มีความจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนกฎหมายในระดับที่รองลงมา คือ กฎหมายของศาลและอัยการ ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นฉบับปี 2540 หรือฉบับปี 2550 ที่กำลังเข้าสู่ฉบับใหม่ ที่จะประกาศใช้ในปี 2560
บัดนี้ มีความจำเป็นที่จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายทั้งในส่วนของผู้พิพากษาและอัยการ โดยใช้หลักการร่วมกัน กรณีของผู้พิพากษาที่ขอปรับเปลี่ยนแก้ไขในวันนี้จะเป็นไปตามหลักการและเหตุผล ดังนี้
เมื่อผู้พิพากษารับราชการจนกระทั่งอายุครบ 60 ปี สามารถที่จะแสดงความประสงค์ได้โดยมีทางเลือก 2 อย่าง คือ
1. ขอเป็นผู้พิพากษาโดยไม่ได้เป็นผู้พิพากษาอาวุโสต่อไปจนกระทั่งมีอายุถึง 65 ปี ในช่วง 5 ปีแรก อาจมีการแต่งตัวโยกย้ายหากเลือกทางที่ 1 คือการเป็นผู้พิพากษาตามปกติ โดยไม่ขอเป็นผู้พิพากษาอาวุโสงานจะหนักหรือเบาเป็นเรื่องของความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
2.แสดงความประสงค์ตั้งแต่มีอายุครบ 60 ปีว่า ขอเป็นผู้พิพากาษาอาวุโสในทันที ซึ่งถ้าเลือกในทางนี้จะเป็นผู้พิพากษาอาวุโสในปีที่ 61-65 ปี เหมือนกันกับทางเลือกแรก แต่ในช่วง 5 ปีแรกจะได้ชื่อว่า เป็นผู้พิพากษาอาวุโส การเป็นผู้พิพากษาอาวุโสนั้นคือยังเป็นผู้พิพากษายังรับราชการและยาวไปจนกระทั่งอายุครบ 70 ปี แต่ภารกิจอาจจะเบาลง
"คนที่จะเลือกเป็นผู้พิพากษอาวุโสนั้น หากมีปัญหาเรื่องสุขภาพหรือภาระคดีมาก อาจจะต้องการไปสู่ตำแหน่งอย่างอื่นเช่น ทำงานในศาลชั้นต้น หรือกลับถิ่นฐานบ้านเกิด พวกเหล่านี้สามารถขอเป็นผู้พิพากษาอาวุโสได้ การเป็นผู้พิพากษาอาวุโสนั้นยังเกษียณ 70 ปี ยังได้ชื่อว่า เป็นผู้พิพากษา และสามารถเลื่อนเงินเดือนได้ไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงอายุ 70 ปี"
ข้อดีของการเลือกเป็นผู้พิพากษาอาวุโสคือ ภาระงานที่ลดน้อยลงตามกำลังสุขภาพ แต่ผู้พิพากษาอาวุโสไม่สามารถดำรงตำแหน่งบริหารงานในศาลได้ เช่น การเป็นอธิบดีศาลต่างๆ เป็นต้น เมื่อมีอายุครบ 65 ปี ไม่ว่าจะเลือกหรือไม่ในการเป็นผู้พิพากษาอาวุโสตอนที่อายุ 60 ปี แต่เมื่ออายุ 65 ปี จะต้องเข้าสู่ระบบผู้พิพากษาอาวุโสเหมือนกันหมด แต่ต้องประเมินสมรรถภาพและประสิทธิภาพอีกครั้งหนึ่ง โดยกต.ตามหลักเกณฑ์ที่กต.กำหนด หากอายุ 65 ปี ตอนนั้นกต.วางหลักเกณฑ์และเอาไปประเมินหากประเมินและสุขภาพไม่ดีไม่สามารถทำหน้าที่ต่อไปได้ผู้นั้นจะต้องออกจากราชการ แต่ประเมินผ่านจะเป็นผู้พิพากษาทุกคนทั้งหมดจน 70 ปี
นายวิษณุ ระบุถึงสาเหตุที่ไม่เสนอก่อนหน้านี้ เพราะรอความชัดเจนของรัฐธรรมนูญจนกระทั่งบัดนี้มีความชัดเจน ขณะเดียวกันขอเสนอแก้กฎหมายใน 2 ฉบับนั้น ฉบับแรกพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม นั้นยังขาดตกบกพร่องอยู่ในเรื่องการระบุผู้พิพากษาอาวุโสนั้นจะเกษียณ เมื่อใด โดยแก้เป็นผู้พิพากษาจะเกษียณเมื่ออายูครบ 70 ปี แต่มีกฎหมายที่เป็นฝาแฝดอีกฉบับ คือ กฎหมายการกำหนดหลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส จะตกแต่งแก้ไขให้สมบูรณ์ เป็นไปตามหลักการที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น จะเป็นการแก้เพื่อความชัดเจน เพราะของเก่านั้นมีความสับสน เนื่องจากเป็นระบบการทยอยกันเกษียณ โดยต่อไปนี้จะเป็นการเข้าสู่ระบบการเกษียณแบบเดียวกันหมด รวมไปถึงกฎหมายเกี่ยวกับอัยการก็เดินในลักษณะเดียวกัน
จากนั้น ที่ประชุมสนช. ยังมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ