ร่างกฎหมายการยาสูบฯ ซุกหายนะใต้พรม
ร่างกฎหมายการยาสูบฯ มีข้อควรระวังคือ การซ่อนข้อกฎหมายที่เปิดช่องให้อุตสาหกรรมยาสูบต่างชาติสามารถเข้ามาครอบงำกิจการยาสูบของไทยได้ ซึ่งเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้น หรือมากำหนดนโยบายการควบคุมยาสูบของประเทศไทย
เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2559 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการยาสูบแห่งประเทศไทย โดยให้เหตุผลว่า เป็นการยกฐานะจากโรงงานยาสูบจากที่ไม่ใช่นิติบุคคล ให้อยู่ในสถานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีต่อระบบการทำธุรกรรมต่างๆของโรงงานยาสูบ
นายวศิน พิพัฒนฉัตร ทนายความ สถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย กล่าวถึงร่างกฎหมายการยาสูบฯ มีข้อควรระวังคือ การซ่อนข้อกฎหมายที่เปิดช่องให้อุตสาหกรรมยาสูบต่างชาติสามารถเข้ามาครอบงำกิจการยาสูบของไทยได้ ซึ่งเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้น หรือมากำหนดนโยบายการควบคุมยาสูบของประเทศไทย
ความน่ากังวลต่อการควบคุมยาสูบของประเทศไทย ในมิติของร่างกฎหมายนี้ คือ
1. กรณีถ้ามีการใช้ตราสารเพื่อใช้ในการลงทุน ต้องมีความชัดเจนว่าเป็นตราสารประเภทใด เพราะถ้าเป็นตราสารที่มีลักษณะเป็น “บุริมสิทธิ” สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการครอบงำกิจการของอุตสาหกรรมยาสูบต่างชาติได้ ดังจะเห็นได้จากกรณีศึกษาเรื่อง “กุหลาบแก้ว” ที่เป็นกรณีศึกษาเรื่องการเป็นตัวแทนให้ต่างชาติในการถือหุ้นกิจการที่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542
2. การจัดตั้งบริษัทจำกัด หรือ บริษัทมหาชนจำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับหรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการของ ยสท. ซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการแสวงหากำไร การได้มาซึ่งกำไรย่อมต้องมาจากการจำหน่ายมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการบริโภคยาสูบของประชาชนโดยตรง และนอกจากนี้การจัดตั้งในรูปแบบบริษัทมหาชนจำกัด ต้องมีการจำหน่ายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ อาจทำให้อุตสาหกรรมยาสูบต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุนในกิจการยาสูบของประเทศไทยได้ ซึ่งประเทศไทยผูกขาดเพียงการผลิตบุหรี่ซิกาแรตเท่านั้น ไม่ได้ผูกขาดการผลิตผลิตภัณฑ์ยาสูบชนิดอื่นๆด้วย
3. แม้การออกตราสาร การจัดตั้งบริษัท การเข้าถือหุ้น หรือการลงทุน ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี แต่ก็ไม่มีหลักประกันอะไรว่าอุตสาหกรรมยาสูบต่างชาติจะไม่เข้าแทรกแซงโดยอาศัยอิทธิพลและอำนาจเงินที่มีอยู่
ทั้งนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา เคยให้ความกังวลว่า ตามมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. 2506 บัญญัติให้การประกอบอุตสาหกรรมบุหรี่ซิกาแรตเป็นการผูกขาดของรัฐ เมื่อโรงงานยาสูบเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีหน้าที่ประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิตบุหรี่ซิกา แรตการแปลงสภาพโรงงานยาสูบตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจฯ เป็นบริษัท จำกัดอันอาจทำให้บริษัทจำกัดดังกล่าวมีผู้ถือหุ้นเป็นบุคคลอื่นใดนอกจากรัฐแล้ว ควรต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ของบทบัญญัติดังกล่าวด้วย แม้ร่างกฎหมายการยาสูบนี้จะไม่ได้อาศัยพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจฯ เป็นเครื่องมือในการจัดตั้งบริษัท แต่ได้เขียนช่องทางการจัดตั้งบริษัทไว้ในกฎหมายเลย ซึ่ง ยสท. ก็ต้องไม่ลืมว่าพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ที่กำลังมีผลใช้บังคับก็ได้บัญญัติว่าการผลิตบุหรี่ซิกาแรตเป็นกิจการผูกขาดของรัฐด้วยเช่นกัน
ด้านรศ.ดร.สุชาดา ตั้งทางธรรม นักเศรษฐศาสตร์ สถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวถึงการเปิดช่องให้มีการร่วมทุนกับเอกชน เป็นการเปิดทางให้มีการแปรรูปโรงงานยาสูบ ซึ่งต่อไปในอนาคตหากการผลิตบุหรี่ดำเนินการโดยบริษัทข้ามชาติแล้ว พนักงานของ รยส.ส่วนหนึ่งจะถูกปลดจากงาน เนื่องจากเครื่องผลิตบุหรี่รุ่นใหม่มีประสิทธิภาพเพิ่มยอดผลิตได้มากขึ้น เกษตรกรชาวไร่ยาสูบก็จะตกงานจำนวนมากเนื่องจากบริษัทบุหรี่ข้ามชาติจะนำใบยาสูบจากประเทศที่ตนไปลงทุนไว้มาผลิตแทน ตัวอย่างเห็นได้จากประเทศโปแลนด์และบัลกาเรีย เป็นต้น (จากข้อมูลของนายแพทย์หทัย ชิตานนท์ ในประเทศโปแลนด์ จำนวนเกษตรกรที่เพาะปลูกใบยาสูบลดจาก 138,000 คน ในปี 2530 เหลือ 40,000 คน ในปี 2537 ส่วนในประเทศบัลกาเรีย การผลิตใบยาสูบลดลงจาก 120,000 ตันในปี 2529 เหลือ 25,000 ตันในปี 2538)
"อุตสาหกรรมยาสูบเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีอิทธิพลมากและในหลายประเทศสามารถซื้อเสียงนักการเมืองได้ทุกระดับ โดยเฉพาะบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจตัดสินใจและสั่งการ (ตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 1976 ในทวีปอเมริกาใต้ Securities and Exchange Commission Report รายงานว่าในช่วงทศวรรษที่ 1970 บริษัทฟิลลิป มอร์ริส และอาร์เจเรย์โนลด์ ได้ “จ่ายเงินอันน่าสังสัย” จำนวน 2.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้แก่ข้าราชการใน 7 ประเทศเพื่อให้ได้สิทธิพิเศษในฐานการผลิตของตน)"
ส่วนนายแพทย์หทัย ชิตานนท์ ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ และประธานรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาควบคุมการบริโภคยาสูบ องค์การอนามัยโลก (2550 – 2551) แสดงความเห็นว่า หากโรงงานยาสูบของรัฐต้องเปลี่ยนเป็นโรงงานยาสูบของบริษัทบุหรี่ข้ามชาติ ความเสียหายทางด้านสาธารณสุขจะเกิดขึ้นคือ:
1. อัตราการสูบบุหรี่และจำนวนผู้สูบบุหรี่จะเพิ่มขึ้น เพราะราคาบุหรี่จะถูกลง และบริษัทบุหรี่ข้ามชาติมีกลยุทธ์การส่งเสริมการขายที่มีประสิทธิผลมาก โดยการบังคับใช้กฎหมายของรัฐอ่อนแอ และฎหมายไทยปรับตัวไม่ทัน
2. เยาวชนไทยจะเริ่มสูบบุหรี่เมื่ออายุที่น้อยลง ด้วยเหตุผลเดียวกันกับข้อ 1
3. การเจ็บป่วยและความพิการด้วยโรค 25 โรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่เพิ่มขึ้น
4. หากประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกการเจรจาทางการค้าที่ประกอบด้วยประเทศใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา จะประสบปัญหายามีราคาสูงขึ้น ก็จะมีผลเสียต่อระบบการรักษาพยาบาลของประเทศ
ที่มาภาพ:www.thaihealth.or.th