- Home
- Isranews
- ตะกร้าข่าว
- 'มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค' ฟ้องศาลปกครอง ขอให้เพิกถอนมติครม.ต่อสัญญาทางด่วน BEM
'มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค' ฟ้องศาลปกครอง ขอให้เพิกถอนมติครม.ต่อสัญญาทางด่วน BEM
'มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค' ฟ้องศาลปกครอง ขอให้เพิกถอนมติครม. ที่เห็นชอบการต่อสัญญาทางด่วน BEM เป็นเวลา 15 ปี 8 เดือน เนื่องจากขัดรัฐธรรมนูญ-ขัดกฎหมาย และคำนวณตัวเลขแพ้คดีสูงเกินจริง ทั้งที่ยังไม่ได้ต่อสู้หรือถูกฟ้องคดีทั้งหมด
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 3 มี.ค. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคออกเอกสารข่าวว่า มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองขอให้มีคำสั่ง หรือคำพิพากษาเพิกถอนมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เห็นชอบการแก้ไขสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ทางพิเศษศรีรัช รวมถึงส่วนดี) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน - ปากเกร็ด (ทางพิเศษอุดรรัถยา) ของบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM
พร้อมทั้งให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และขอให้ศาลคุ้มครองการบังคับใช้ตามมติครม. และทุเลาการบังคับตามมติดังกล่าว รวมทั้งขอให้ศาลพิจารณาคำขอคุ้มครองก่อนมีคำพิพากษาโดยเร่งด่วน
โดยมีเหตุผลในการฟ้องคดี ดังนี้
1.มติครม.ดังกล่าวเป็นมติที่ขัดหรือแย้งหรือไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นมติที่เกี่ยวข้องกับการจัดบริการสาธารณะเป็นกรณีที่เกี่ยวด้วยสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน จึงต้องพิจารณาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 56 และยังเป็นกรณีที่เป็นการดำเนินการใดของรัฐหรือที่รัฐจะอนุญาตให้ผู้ใดดำเนินการที่มีผลกระทบต่อ คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดของประชาชน รัฐต้องดำเนินการให้มีการศึกษา และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนที่เกี่ยวข้องก่อน เพื่อนำมาประกอบการพิจารณา
2.การดำเนินการแก้ไขสัญญาขัดต่อกฎหมายไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 และพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 หลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 เอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายเดิม ไม่เกิดการแข่งขันในการให้บริการ
การเสนอการแก้ไขสัญญาของกระทรวงคมนาคมในครั้งนี้เป็นการกระทำอย่างเร่งรีบ เนื่องจากสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ทางพิเศษศรีรัช รวมถึงส่วนดี) จะสิ้นสุดภายในเดือนก.พ.2563 หากคณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องนี้ภายหลังจากวันหมดอายุสัญญาดังกล่าว จะส่งผลให้ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ในการดำเนินการหาเอกชน ผู้ดำเนินโครงการรายใหม่ และจะไม่สามารถเจรจาขยายสัญญาฯ ตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ได้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ว่า คณะรัฐมนตรีมีเป้าประสงค์ที่จะให้เอกชนรายเดิมต่อสัญญาสัมปทานเพียงเจ้าเดียว
3.มติครม.ดังกล่าวจะเป็นบรรทัดฐานใหม่ให้กับหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้เอกชนมีสิทธิเหนืออำนาจปกครอง และเป็นการเปิดช่องให้ใช้วิธีการสมยอมโดยทุจริตได้โดยไม่ผ่านการตรวจสอบจากฝ่ายตุลาการ ทั้งนี้มติดังกล่าวมิใช่กฎหมายแต่จำต้องปฏิบัติตามกฎหมายซึ่งปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายใดรองรับว่าสามารถใช้มติคณะรัฐมนตรียกเว้นหรือดำเนินการโดยไม่มีกฎหมายรองรับได้ ซึ่งเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และเป็นการก้าวล่วงและริดรอนอำนาจฝ่ายตุลาการซึ่งเป็นอำนาจที่ถ่วงดุลอำนาจฝ่ายบริหาร
4.ตัวเลขหนี้เป็นตัวเลขมโน คิดไปเองว่าจะแพ้คดีทั้งที่ยังไม่ได้ต่อสู้หรือถูกฟ้องทั้งหมด เป็นมูลหนี้ที่ไม่ถูกต้อง และคิดจากสิ่งที่การทางพิเศษยังไม่ได้แพ้คดีจริง ยังไม่ถูกฟ้องร้องหรือแม้แต่ยังไม่นำคดีเข้าสู่การพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ อยู่ในขั้นตอนการเจรจาเท่านั้น ตามข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เนื่องจากการพิจารณาแก้ไขสัญญาเพื่อยุติข้อพิพาทตามมติคณะรัฐมนตรีไม่สามารถแยกได้ว่าหนี้ที่แท้จริงของแต่ละสัญญามีมูลค่าเท่าใด แต่กลับต่อระยะเวลาของสัญญาทั้ง 3 ออกไป โดยไม่มีที่มาที่ไป
5.กรณีนี้จึงอาจถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 11 เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้ใดหรือผู้ได้รับมอบหมายจากหน่วยงานของรัฐผู้ใดโดยทุจริตทำการออกแบบ กำหนดราคา กำหนดเงื่อนไข หรือกำหนดผลและประโยชน์ตอบแทน อันเป็นมาตรฐานในการเสนอราคา โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม หรือเพื่อช่วยเหลือให้ผู้เสนอราคารายใดได้มีสิทธิเข้าทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐโดยไม่เป็นธรรม หรือเพื่อกีดกันผู้เสนอราคารายใดมิให้มีโอกาสเข้าแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 1แสนบาท ถึง 4 แสนบาท
6.รัฐเสียหาย 271,721 ล้านบาท ซึ่งควรเป็นรายได้การทางพิเศษ(กทพ.) หรือรายได้ของประเทศ หากไม่มีการต่อสัญญาสัมปทานหลังสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ นี้ การคาดการณ์รายได้เดิมในระยะ 15 ปี 8 เดือน มาจากสัญญาทางด่วนขั้นที่ 2 ประมาณ 233,567 ล้านบาท รวมกับรายได้ส่วน D ประมาณ 18,456 ล้านบาท และรายได้จากสัญญาบางปะอิน-ปากเกร็ด ประมาณ 19,698 ล้านบาท ทั้งที่มูลหนี้ที่ต้องชำระจำนวน 4,318 ล้านเงิน เป็นต้นเพียง 1,790 ล้านบาท รวมดอกเบี้ยอีก 2,528 ล้านบาท แต่รัฐบาลกลับนำคดีที่ยังไม่แพ้คดี เป็นมูลหนี้เงินต้น 50,290 ล้านบาท ดอกเบี้ยอีก 24,300 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 74,590 ล้านบาท เป็นความเสียหายรวมประมาณ 78,908 ล้านบาท
7.เอื้อประโยชน์ให้เอกชน 26,415 ล้านบาท โดยการรับภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้นิติบุคคล แทนเอกชน โดยใช้ข้อเท็จจริงในการพิจารณาไม่โปร่งใส ใช้ฐานข้อมูลรายได้ของรัฐที่ต่ำเกินความเป็นจริง
8.มติครม.ดังกล่าวเป็นมติที่ไม่มีการรับฟังข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน ไม่มีการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ และ/หรือมีการศึกษาเฉพาะเป็นเพื่อการระงับข้อพิพาทซึ่งเป็นการสมคบคิดเพื่อผลประโยชน์ของผู้ก่อเหตุความเสียหายของภาครัฐและเอกชนผู้ลงทุนที่เรียกร้องสิทธิตามสัญญา โดยไม่กล่าวถึงผลเสียหรือผลกระทบที่มีต่อประชาชนหรือผู้บริโภค ซึ่งขัดต่อหลักบริการสาธารณะที่จะต้องมีการศึกษาประโยชน์และภาระที่ประชาชนจะต้องได้รับผลกระทบ
9.มติครม.ดังกล่าวเป็นมติที่มีผลกระทบต่อประชาชนและผู้บริโภคในวงกว้าง เนื่องจากเป็นมติที่เกี่ยวเนื่องกับการบริการสาธารณะ การที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้แก้ไขหรือขยายระยะเวลาสัมปทานออกไป และมีการเรียกเก็บค่าผ่านทางในอัตราเดิมและสูงขึ้นตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญานั้น ย่อมเป็นการกระทำที่ประชาชนไม่ได้ประโยชน์ และได้รับผลกระทบสูงสุด ซึ่งเป็นกรณีที่ตรงกันข้ามกับหลักบริการสาธารณะที่จะต้องเป็นการดำเนินการเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดและได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ผู้บริโภค ควรได้ใช้ทางด่วนที่หมดสัญญาสัมปทานถูกลง ยิ่งนาน ค่าผ่านทางควรถูกลง หากคิดรายได้การทางพิเศษ ร้อยละ 60% ค่าผ่านทางสามารถลดลงได้มากถึง 40% ที่เป็นส่วนแบ่งให้บริษัท นั่นคือเราจะใช้ทางด่วนในราคา 36 บาทเท่านั้น จากเดิม 60 บาท
10.ไม่ดำเนินการในสิ่งที่ควรดำเนินการ รัฐบาลควรขอให้มีการเร่งรัดกระบวนการยุติธรรมหรือมีการพิจาณาคดีแบบเร่งด่วน เพื่อลดมูลค่าความเสียหายที่จะเกิดจากการฟ้องคดี จะเห็นได้ว่า ระยะเวลาที่ล่าช้า ทำให้เกิดดอกเบี้ยเกิน 100%
11.ความเสียหายแน่นอนมีเพียง 1 คดี (4,318 ล้านบาท) จากจำนวน 17 คดี นอกนั้นอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาลจำนวน 5 คดี เป็นของศาลปกครองสูงสุด 1 คดีศาลปกครองกลาง 4 คดี และขั้นตอนการพิจารณาอนุญาโตตุลาการ 9 คดี และยื่นข้อเสนอ 2 คดี
12.มติครม.ที่อนุมัติเห็นชอบให้ต่อสัญญาสัมปทาน 15 ปี 8 เดือน ที่ใช้มูลค่าที่ไม่ถูกต้องจะต้องรับผิด แต่ข้อเท็จจริงไม่ง่ายเลยที่ ครม.ต้องรับผิดชอบ จึงทำให้เกิดความเสียหายซ้ำซาก เห็นได้จากบทเรียนกรณีดอนเมืองโทลเวย์
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/