- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- ฉบับเต็ม! เปิดผลสอบสตง. หลักฐานมัดระบายข้าวจีทูจีเหลว ยุค 'ยิ่งลักษณ์'
ฉบับเต็ม! เปิดผลสอบสตง. หลักฐานมัดระบายข้าวจีทูจีเหลว ยุค 'ยิ่งลักษณ์'
"..ด้วยวิธีการเจรจาขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) มีระบบการควบคุมที่ยังไม่มีความรัดกุมและเพียงพอ ย่อมส่งผลทําให้อาจเกิดความผิดพลาดในการดําเนินงานต่าง ๆ เช่น การเบิกจ่ายข้าวที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กําหนดในสัญญาซึ่งทําให้รัฐสูญเสียเงินรายได้ที่ต่ํากว่าที่ควรได้รับเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า789.38 ล้านบาท ...รวมทั้งส่งผลกระทบต่อแผนการระบายข้าว การรักษาส่วนแบ่งตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ และการเสียเปรียบในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย.."
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org : เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้เผยแพร่รายงานการตรวจสอบการระบายข้าวตามโครงการรับจํานําข้าวเปลือกของรัฐบาล ปีการผลิต 2554/55-2556/57 ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีข้อสังเกต 2 ประเด็นหลัก คือ 1.การระบายข้าวด้วยวิธีเจรจาขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) มีระบบการควบคุม ภายในที่ยังไม่มีความรัดกุมและเพียงพอ 2. การระบายข้าวด้วยวิธีขายเป็นการทั่วไปให้กับผู้ประกอบการในประเทศยังดําเนินการได้ต่ำกว่าปริมาณข้าวตามประกาศเชิญชวนและไม่สอดคล้องกับการจัดการคลังสินค้าที่ดี ซึ่งชี้ให้เห็นถึงปัญหาความผิดในการดำเนินงานหลายประเด็น พร้อมเสนอแนะให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศพิจารณาดำเนินการปรับปรุงแก้ไขต่อไป
---------------------------
ที่มาและความสำคัญ
รัฐบาล (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) มีนโยบายเร่งด่วนในการดําเนินการยกระดับราคาสินค้าเกษตรโดยนําระบบการจํานําสินค้าเกษตรมาใช้เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านรายได้ให้เกษตรกร โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.)ได้พิจารณาอนุมัติกรอบวงเงินในการดําเนินงานโครงการรับจํานําข้าวเปลือก ตั้งแต่ปีการผลิต2554/55 ปี 2555 ปี 2555/56 และปี 2556/57 รวมทั้งสิ้น 1,470,698.22 ล้านบาท ซึ่งการดําเนินงานโครงการดังกล่าวทําให้รัฐบาลมีปริมาณข้าวในคลังสินค้าจํานวนมาก จึงต้องดําเนินการระบาย
โดยคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ได้มีคําสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานและอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นเลขานุการ ทําหน้าที่พิจารณาหลักเกณฑ์วิธีการ ชนิด ปริมาณ และเงื่อนไขการจําหน่ายข้าวสารในโกดังกลางที่แปรสภาพจากข้าวเปลือกตามโครงการรับจํานําข้าวเปลือกของรัฐบาลรวมทั้งข้าวเปลือกและข้าวสารอื่น ๆ ที่คงเหลือของรัฐบาล ที่เหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อตลาดโดยรวมและกํากับดูแลแก้ไขปัญหาในทางปฏิบัติเกี่ยวกับการระบายข้าวดังกล่าว ตลอดจนพิจารณากําหนดวิธีการระบายข้าวได้ตามความจําเป็นซึ่งที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวได้เห็นชอบให้มีการระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาลอย่างต่อเนื่องด้วยวิธีการต่างๆเช่น ขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ขายเป็นการทั่วไปให้กับผู้ประกอบการในประเทศ ขายให้องค์กรหรือหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตระหนักถึงความสําคัญจึงได้เลือกตรวจสอบการระบายข้าวตามโครงการรับจํานําข้าวเปลือกของรัฐบาล ปีการผลิต 2554/55 – 2556/57 ด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) และขายเป็นการทั่วไปให้กับผู้ประกอบการในประเทศ เพื่อให้ทราบถึงผลการดําเนินงานและปัญหาอุปสรรคข้อขัดข้องที่เกิดจากการดําเนินงาน เพื่อเสนอแนะแนวทางแก้ไขต่อไป
ผลการตรวจสอบ
จากการตรวจสอบ มีประเด็นข้อตรวจพบและข้อสังเกตที่สําคัญ ดังนี้
ข้อตรวจพบที่ 1 การระบายข้าวด้วยวิธีเจรจาขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) มีระบบการควบคุมภายในที่ยังไม่มีความรัดกุม และเพียงพอ
จากการตรวจสอบสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐในเทอม Ex-warehouse จํานวน 7 ฉบับ ปริมาณรวม 18.268 ล้านตัน พบว่า ระบบการควบคุมภายในยังไม่มีความรัดกุมและเพียงพอโดยมีความเสี่ยงในการจัดทําสัญญาซื้อขายการส่งมอบข้าวให้กับตัวแทนที่ได้รับมอบอํานาจจากผู้ซื้อการเบิกจ่ายข้าวและการกําหนดคลังสินค้าเพื่อจ่ายข้าวตามเงื่อนไขสัญญาซื้อขาย มีรายละเอียดดังนี้
1.สัญญาซื้อขายบางฉบับมีรายละเอียดเงื่อนไขสําคัญในบางรายการแตกต่างจากผลการเจรจาซื้อขายตามที่ประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวได้ให้ความเห็นชอบ
จากการตรวจสอบ พบว่าสัญญาซื้อขายจํานวน 3 ฉบับ ได้กําหนดในเงื่อนไขการส่งมอบให้ผู้ซื้อนําข้าวที่ได้รับมอบภายใต้สัญญาไปใช้สําหรับการบริโภคภายในประเทศผู้ซื้อเป็นหลัก โดยผู้ซื้ออาจ นําข้าวที่ได้รับมอบภายใต้สัญญาไปขายหรือบริจาคให้กับประเทศที่สามได้ ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวแตกต่างจากผลการเจรจาซื้อขายที่ประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวได้เห็นชอบตามที่ผู้ซื้อแจ้งความประสงค์เสนอขอซื้อข้าวเพื่อนําไปใช้ภายในประเทศหรือเพื่อการบริจาค
นอกจากนี้สัญญาซื้อขายอีก 4 ฉบับ ได้กําหนดเงื่อนไขการส่งออกให้ผู้ซื้อนําข้าวที่ได้รับมอบไปใช้สําหรับการบริโภคภายในประเทศผู้ซื้อเป็นหลักและอาจขายหรือบริจาคให้กับประเทศที่สามได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับข้อมูลรายงานการส่งออกข้าวที่ผู้ซื้อรายงานกรมการค้าต่างประเทศภายใต้สัญญาซื้อขายทั้ง 7 ฉบับ จนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2557 พบว่าข้าวที่มีการรับมอบภายใต้สัญญาจํานวนถึง 6 ฉบับ ไม่มีการรายงานการส่งออกไปยังประเทศผู้ซื้อ แต่มีการรายงานการส่งออกไปยังประเทศที่สามเป็นส่วนใหญ่ โดยเป็นการส่งออกไปยังทวีปแอฟริกาซึ่งเป็นตลาดข้าวที่สําคัญของประเทศไทยถึงร้อยละ 48.60 ของปริมาณข้าวที่ได้รับมอบและขนย้ายทั้งหมด ซึ่งอาจส่งผลต่อผู้ส่งออกข้าวไทยและการรักษาส่วนแบ่งตลาดข้าวไทยในตลาดต่างประเทศ
2.สัญญาซื้อขายบางฉบับมีการแก้ไขรายละเอียดเงื่อนไขสําคัญภายใต้การพิจารณาที่อาจยังไม่รัดกุม เพียงพอ
จากการตรวจสอบ พบว่า สัญญาซื้อขาย จํานวน 4 ฉบับ มีการแก้ไขรายละเอียดเงื่อนไขสําคัญเกี่ยวกับชนิดข้าว ปริมาณข้าว ระยะเวลาการรับมอบ และวิธีการชําระเงิน โดยจัดทําเป็นข้อบทแก้ไขเงื่อนไขในสัญญาซื้อขายข้าว (Amendment) จํานวน 11 ครั้ง ซึ่งการแก้ไขในบางเรื่องเป็นการแก้ไขในสาระสําคัญ ได้แก่ ชนิดข้าวและปริมาณข้าว ซึ่งประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวมีการพิจารณาให้ความเห็นชอบในเรื่องดังกล่าวตามที่กรมการค้าต่างประเทศเสนอ โดยยังไม่ปรากฏการพิจารณาในรูปของคณะอนุกรรมการหรือคณะทํางาน เพื่อให้เกิดความรอบคอบในการดําเนินการเนื่องจากการแก้ไขเงื่อนไขในสัญญาซื้อขายแต่ละครั้ง มีผลต่อการระบายข้าวทั้งชนิด ปริมาณ และราคาที่จําหน่าย ซึ่งอาจส่งผลต่อการได้เปรียบเสียเปรียบหรือสถานการณ์ตลาดข้าวได้
3.สัญญาซื้อขายยังไม่มีการกําหนดเงื่อนไขการรายงานการส่งออกข้าว หรือกําหนดแต่ไม่มีการจัดส่งรายงานหรือมีการจัดส่งล่าช้า
จากการตรวจสอบ พบว่าสัญญาซื้อขายจํานวน3 ฉบับยังไม่มีการ กําหนดเงื่อนไขการรายงานการส่งออกข้าวภายใต้สัญญาซื้อขายส่วนสัญญาซื้อขายอีก 4 ฉบับ มีการกําหนดเงื่อนไขให้ผู้ซื้อต้องรายงานผลการส่งออกข้าวให้กรมการค้าต่างประเทศทราบเป็นรายไตรมาส แต่การรายงานดังกล่าวยังไม่มีการกําหนดรูปแบบข้อมูลที่จําเป็นต้องรายงานและรายการเอกสารที่ต้องจัดส่งที่ใช้เป็นหลักฐานแสดงการส่งออก เพื่อให้สามารถควบคุมติดตามการดําเนินการส่งออกของผู้ซื้อได้อย่างรัดกุม
นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ซื้อตามสัญญา จํานวน 1 ฉบับ ไม่มีการรายงานการส่งออกข้าวให้กรมการค้าต่างประเทศทราบ ส่วนสัญญาซื้อขายอีก 3 ฉบับ มีการรายงานการส่งออกข้าว แต่ยังล่าช้าไม่เป็นปัจจุบัน รวมทั้งเป็นการรายงานข้อมูลการส่งออกข้าวในภาพรวมเป็นรายทวีป ไม่ได้จําแนกเป็นประเทศผู้ซื้อและประเทศที่สาม เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการควบคุมตรวจสอบให้เป็นไปตามรายละเอียดเงื่อนไขในสัญญา และเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาในการบริหารจัดการการระบายข้าวต่อไป
4. กรมการค้าต่างประเทศไม่ได้ส่งเอกสารสําคัญแสดงการมอบอํานาจให้ตัวแทนดําเนินการในการรับมอบข้าวแทนของผู้ซื้อให้กับองค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อกษตรกร(อ.ต.ก.)
จากการตรวจสอบ พบว่า กรมการค้าต่างประเทศมีเพียงหนังสือแจ้งองค์การคลังสินค้า (อคส.)หรือองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ให้จ่ายข้าวในคลังสินค้าให้แก่ตัวแทนที่ได้รับมอบอํานาจจากผู้ซื้อโดยไม่มีการจัดส่งเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับตัวแทนที่ได้รับแต่งตั้งจากผู้ซื้อเช่น หนังสือแต่งตั้งตัวแทนของผู้ซื้อ หนังสือแต่งตั้งผู้แทนนิติบุคคลเพื่อกระทําการแทนบริษัทที่ได้รับแต่งตั้งจากผู้ซื้อ สําเนาบัตรประจําตัวประชาชน หรือตัวอย่างลายมือชื่อของตัวแทน เพื่อใช้เป็นเอกสารหลักฐานในการยืนยันตัวบุคคลผู้มีอํานาจในการรับมอบและขนย้ายข้าวออกจากคลังสินค้า ทําให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าตัวแทนผู้มารับมอบข้าวเป็นผู้ที่ได้รับมอบอํานาจจริงและถูกต้องหรือไม่
5.การควบคมการเบิกจ่ายข้าวในสัญญาซื้อขายบางฉบับไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กําหนด
จากการตรวจสอบ พบว่า กรมการค้าต่างประเทศได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายกับ GUANGDONGSTATIONARY & SPORTING GOODS IMP. & EXP. CORP. (GSSG IMP. & EXP. CORP.) จํานวน 2 ฉบับ
โดยสัญญาฉบับที่ 2 กําหนดเงื่อนไขให้ผู้ซื้อต้องรับมอบข้าวชนิดเดียวกันกับในสัญญาฉบับแรกตามจํานวนที่กําหนดก่อน จึงจะสามารถขอรับมอบข้าวชนิดเดียวกันในสัญญาฉบับที่ 2 ได้เนื่องจากราคาตกลงซื้อขายของสัญญาฉบับที่ 2 ต่ํากว่าสัญญาฉบับแรก
แต่ปรากฏว่าเพียง วันที่ 31 พฤษภาคม 2557 ผู้ซื้อมีการขอรับมอบข้าวตามสัญญาฉบับที่ 2 ในขณะที่ยังรับมอบข้าวชนิดเดียวกันตามสัญญาฉบับแรกไม่ครบตามจํานวนที่กําหนด ทําให้รัฐสูญเสียเงินรายได้ที่ต่ำกว่าที่ควรได้รับเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 789.38 ล้านบาท
6. การกําหนดคลังสินค้าเพื่อจ่ายข้าวไม่เป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาซื้อขาย
จากการตรวจสอบพบว่าสัญญาซื้อขายกําหนดเงื่อนไขให้กรมการค้าต่างประเทศในฐานะผู้ขายเป็นผู้กําหนดคลังสินค้าและแจ้งรายชื่อคลังสินค้าให้ผู้ซื้อทราบ แต่ปรากฏว่ากรมการค้าต่างประเทศไม่ได้เป็นผู้กําหนดคลังสินค้าที่จะจ่ายข้าวเพื่อส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อ แต่แจ้งเป็นการภายในให้ผู้ซื้อประสานรายชื่อคลังสินค้ากับองค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เองโดยตรง เพื่อกําหนดคลังสินค้าที่จะขอรับมอบข้าวตามสัญญา ซึ่งอาจเป็นความเสี่ยงในการควบคุมและทําให้เกิดความเสียเปรียบกับคู่สัญญาได้การระบายข้าว ด้วยวิธีการเจรจาขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) มีระบบการควบคุมที่ยังไม่มีความรัดกุมและเพียงพอ ย่อมส่งผลทําให้อาจเกิดความผิดพลาดในการดําเนินงานต่าง ๆ เช่น การเบิกจ่ายข้าวที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กําหนดในสัญญาซึ่งทําให้รัฐสูญเสียเงินรายได้ที่ต่ํากว่าที่ควรได้รับเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า789.38 ล้านบาท และอาจทําให้รัฐเกิดการเสียเปรียบกับคู่สัญญาจากการกําหนดคลังสินค้าเพื่อจ่ายข้าวที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข รวมทั้งส่งผลกระทบต่อแผนการระบายข้าว การรักษาส่วนแบ่งตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ และการเสียเปรียบในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย
โดยสาเหตุสําคัญที่ทําให้ระบบการควบคุมยังไม่รัดกุมเพียงพอ เนื่องมาจากกรมการค้าต่างประเทศยังไม่มีแนวทางในการส่งร่างสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐให้หน่วยงานที่มีหน้าที่พิจารณาร่างกฎหมายหรือร่างสัญญา เพื่อให้เกิดความรัดกุมในการทําสัญญาซื้อขาย การพิจารณาให้ความเห็นชอบการจัดทําสัญญาซื้อขายและการขอแก้ไขเงื่อนไขในสัญญาซื้อขายยังไม่มีการดําเนินการในรูปคณะอนุกรรมการหรือคณะทํางานอย่างเป็นรูปธรรม การกําหนดเงื่อนไข รูปแบบการรายงานการส่งออกข้าวและการติดตามการส่งรายงานการส่งออกข้าวไปนอกราชอาณาจักร ยังไม่มีการกําหนดแนวทางปฏิบัติและการควบคุมติดตามการดําเนินงานนอกจากนี้ตามแนวทางการระบายข้าวตามที่คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2554 ได้กําหนดให้ดําเนินการระบายข้าวในทางลับ ไม่เปิดเผยต่อสาธารณชนรวมทั้งไม่เปิดเผยข้อมูลปริมาณข้าวในสต็อกของรัฐบาล จึงทําให้กลุ่มงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการเจรจาขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ไม่ได้ส่งเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้กับกลุ่มงานอื่นหรือหน่วยงานอื่นที่รับผิดชอบในขั้นตอนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ควบคุมตรวจสอบการดําเนินงานให้เกิดความถูกต้อง
ข้อเสนอแนะ
สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน มีข้อเสนอแนะให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศพิจารณาดําเนินการดังนี้
1. กําหนดแนวทางในการส่งร่างสญญาซื้อขายขาวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ให้หน่วยงานที่มีหน้าที่พิจารณาร่างกฎหมายหรือร่างสัญญา โดยควรหารือสํานักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการส่งร่างสัญญาซื้อขายข้าวดังกล่าวว่ามีผลที่ต้องดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2535 ซึ่งแจ้งโดยหนังสือสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ นร 0206/ว 138 ลงวันที่ 9 กันยายน 2535 ในการนําส่งให้อัยการสูงสุดเพื่อตรวจพิจารณาร่างสัญญาด้วยหรือไม่ เพื่อให้เกิดความรัดกุม และป้องกันหรือลดความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ
2. พิจารณาทบทวนแนวทางการพิจารณาจดทำสัญญาและการแก้ไขเงื่อนไขในสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) เพื่อให้เกิดความรัดกุมรอบคอบ โปร่งใสเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลเช่นเดียวกับวิธีขายเป็นการทั่วไป โดยเฉพาะการพิจารณาในรูปคณะทํางานหรือคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพิจารณากําหนดหลักการในการเสนอและให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับเงื่อนไขการส่งออกข้าวไปยังประเทศที่สามเพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ โดยไม่ควรทําสัญญาในเทอมEx-warehouse เช่นเดียวกับกรณี 7 สัญญานี้อีก
3. กําหนดแนวทางปฏิบัติและการควบคุมติดตามการดําเนินการตามสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) โดยเฉพาะการกําหนดเงื่อนไขและรูปแบบการรายงานการส่งออกข้าว และการติดตามการดําเนินการตามเงื่อนไขต่าง ๆ ในสัญญา เพื่อให้การดําเนินการเป็นไปอย่างถูกต้องตามสัญญา
4. พิจารณาทบทวนแนวทางการระบายข้าวในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยข้อมูลที่จําเป็นต่อ การดําเนินงาน เพื่อให้กลุ่มงานอื่นภายในหน่วยงานและหน่วยงานภายนอกอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง สามารถนําข้อมูลสําคัญที่จําเป็นต่อการปฏิบัติงานในแต่ละขั้นตอนไปใช้ประโยชน์ในการสอบยันหรือตรวจสอบความถูกต้องได้โดยอาจกําหนดเป็นชั้นความลับตามความสําคัญ
5. ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีมีการเบิกจ่ายข้าวไม่เป็นไปตามเงื่อนไขในสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) และทําให้รัฐสูญเสียเงินรายได้ที่ต่ํากว่าที่ควรได้รับเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า789.38 ล้านบาท หากพบการกระทําผิดให้ดําเนินการตามควรแต่กรณี
ข้อตรวจพบที่ 2 การระบายข้าวด้วยวิธีขายเป็นการทั่วไปให้กับผู้ประกอบการในประเทศยังดําเนินการได้ต่ำกว่าปริมาณข้าวตามประกาศเชิญชวนและไม่สอดคล้องกับการจัดการคลังสินค้าที่ดี
จากการตรวจสอบ พบว่า การระบายข้าวด้วยวิธีดังกล่าวยังดําเนินการได้ต่ำกว่าปริมาณข้าวตามประกาศเชิญชวนและไม่สอดคล้องกับการจัดการคลังสินค้าที่ดีซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1.ปริมาณข้าวที่จําหน่ายด้วยวิธีขายเป็นการทั่วไปดําเนินการได้ต่ำกว่าปริมาณข้าวตามประกาศหรือหนังสือเชิญชวน ประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวได้อนุมัติให้จําหน่ายข้าวด้วยวิธีขายเป็นการทั่วไปให้กับผู้ประกอบการในประเทศ จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2557 ได้จํานวนทั้งสิ้นเพียง 4.320 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 48.68 ของปริมาณข้าวตามประกาศหรือหนังสือเชิญชวนทั้งหมด 8.875 ล้านตัน โดยเป็นการระบายด้วยวิธีการออกประกาศเชิญชวนให้ผู้สนใจเสนอชนิด ปริมาณและราคาซื้อข้าวสารเพื่อการส่งออกโดยให้ยื่นเสนอซื้อภายในเวลาที่กําหนด (เปิดประมูล) จํานวน 1.177 ล้านตัน และวิธีให้ผู้ส่งออกที่มีคําสั่งซื้อข้าวในปริมาณมากเสนอซื้อข้าวในสต็อกรัฐบาล จํานวนถึง 3.143ล้านตัน
2. การระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาลยังไม่สอดคล้องกับการจัดการสินค้าคงคลังที่ดีคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวมีแนวทางการระบายข้าวโดยให้เร่งระบายข้าวเปลือกและข้าวสารเก่าในสต็อกของรัฐบาลที่มีอายุการเก็บรักษามากกว่า 2 ปี แต่ปรากฏว่ามีคลังสินค้าหรือไซโลคงเหลือที่มีการจัดเก็บข้าวสารปีการผลิต 2554/55 และปี 2555 ซึ่งเป็นข้าวสารที่มีอายุการจัดเก็บเกินกว่า 2 ปีเพียงวันที่ 31 พฤษภาคม 2557 จํานวน 606 แห่ง โดยมีคลังสินค้าหรือไซโลที่ยังไม่เคยได้รับคัดเลือกให้ ประกาศขาย จํานวน 122 แห่ง หรือคิดเป็นร้อยละ 20.13 ของคลังสินค้าคงเหลือที่มีการจัดเก็บ ข้าวสารปีการผลิต 2554/55 และปี 2555 และมีปริมาณข้าวสารในคลังสินค้าดังกล่าวคิดเป็นร้อยละ 25.79 ของปริมาณข้าวสารคงเหลือในปีการผลิต 2554/55 และปี 2555 ซึ่งชนิดข้าวโดยส่วนใหญ่ ได้แก่ข้าวขาว 5% ปลายข้าว และข้าวท่อนหอมมะลิ
การระบายข้าวด้วยวิธีการขายเป็นการทั่วไปให้กับผู้ประกอบการในประเทศยังดําเนินการได้ต่ำกว่าปริมาณข้าวตามประกาศเชิญชวนและไม่สอดคล้องกับการจัดการคลังสินค้าที่ดีย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพข้าวในคลังสินค้าที่อาจเกิดปัญหาข้าวเสื่อมสภาพตามระยะเวลาการจัดเก็บ และทําให้มีต้นทุนในการบริหารคลังสินค้าและการเก็บรักษาที่เพิ่มสูงขึ้นตามระยะเวลาการเก็บรักษาซึ่งคลังสินค้าหรือไซโลจํานวน 122 แห่งมีค่าเช่าคลังจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2557 ประมาณ 499.34 ล้านบาท และยังมีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาด้านอื่น ๆเช่น ค่ารมยาอบยาค่าผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าวค่าเบี้ยประกันสินค้า เป็นต้น ซึ่งเป็นต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายที่จะส่งผลต่อการขาดทุนของโครงการที่อาจจะเพิ่มขึ้นได้โดยมีสาเหตุสําคัญเนื่องจากผู้ประกอบการค้าข้าวขาดความเชื่อมั่นในเรื่องคุณภาพข้าว และการประกาศขายในแต่ละครั้ง เป็นการขายแบบรายคลังซึ่งมีปริมาณข้าวมาก ทําให้อาจต้องรับภาระความเสี่ยงเรื่องคุณภาพของข้าว จํานวนมากที่ประมูลได้และยังทําให้ผู้ประกอบการค้าข้าวรายย่อยไม่สนใจเข้าร่วมประมูล เนื่องจากข้าว มีปริมาณมากเกินความต้องการและเงินทุนของผู้ประกอบการ การกําหนดให้ผู้ส่งออกที่มีคําสั่งซื้อข้าว ปริมาณมากจากต่างประเทศสามารถเสนอซื้อข้าวในสต็อกรัฐบาลได้ในช่วงเวลาเดียวกันกับการเปิดให้มีการประมูลข้าวในสต็อกรัฐบาล ทําให้ผู้ส่งออกรายใหญ่ไม่สนใจเข้าร่วมประมูลซื้อข้าวรวมทั้งผลิตภัณฑ์ข้าวบางชนิดที่กําหนดให้สีแปรสภาพส่งมอบเข้าคลังสินค้ามีการเสื่อมสภาพค่อนข้างเร็ว ซึ่งยังไม่มีการนําปัจจัยด้านคุณลักษณะทางกายภาพของข้าวแต่ละชนิดดังกล่าวมาพิจารณา ทําให้ข้าวบางชนิดเกิดการเสื่อมสภาพตามระยะเวลาก่อนการประกาศขาย นอกจากนี้การคัดเลือกคลังสินค้าที่จะระบายข้าวมิได้พิจารณาเกี่ยวกับปัจจัยด้านระยะเวลาก่อน–หลังของการรับมอบข้าวเข้าคลังสินค้าของข้าวปีการผลิตเดียวกัน และต้นทุนในการบริหารคลังสินค้า รวมทั้งผังการจัดกองข้าวในคลังสินค้า มาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาระบายข้าวตามหลักการจัดการสินค้าคงคลังที่ดี
ข้อเสนอแนะ
สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีข้อเสนอแนะให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศพิจารณาดําเนินการดังนี้
1. พิจารณาแนวทางปฏิบัติให้หน่วยงานระดับพื้นที่ โดยเฉพาะคณะอนุกรรมการติดตามกํากับดูแลการรับจํานําระดับจังหวัด เข้ามามีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลกับคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวเกี่ยวกับสภาพข้าวในคลังสินค้า ความต้องการซื้อข้าวในคลังสินค้าของผู้ประกอบการค้าข้าวในเขตพื้นที่ความรับผิดชอบ เพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลตามสภาพจริงในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งให้มีส่วนร่วมในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้กับผู้ประกอบการค้าข้าว โดยเฉพาะข้อมูลด้านคุณภาพข้าวในคลังสินค้าที่มีการประกาศขายที่อยู่ในเขตพื้นที่ความรับผิดชอบ
2. ในโอกาสต่อไปหากมีกําหนดให้ผู้ส่งออกที่มีคําสั่งซื้อข้าวปริมาณมากจากต่างประเทศสามารถเสนอซื้อข้าวในสต็อกรัฐบาล ควรกําหนดช่วงเวลาในการดําเนินการที่ไม่ตรงกับระยะเวลาในการประกาศเชิญชวนให้ผู้สนใจยื่นเสนอราคาซื้อข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล (เปิดประมูล) เพื่อให้ผู้ส่งออกสนใจเข้าร่วมประมูลซื้อขายข้าวตามประกาศเชิญชวน
3. การคัดเลือกคลังสินค้าที่จะระบาย ควรพิจารณานําปัจจัยด้านคุณลักษณะทางกายภาพของข้าวแต่ละชนิด ระยะเวลาก่อน–หลังของการรับมอบข้าวเข้าคลังสินค้าของข้าวปีการผลิตเดียวกัน ต้นทุนในการบริหารคลังสินค้าและผังการจัดกองข้าวในคลังสินค้ามาเป็นหลักเกณฑ์เพิ่มเติมประกอบการพิจารณาเพื่อให้เป็นไปตามหลักการบริหารสินค้าคงคลังที่ดีและเป็นการลดความเสียหายของปัญหาข้าวเสื่อมสภาพจากการเก็บรักษา
ข้อสังเกต
ข้อสังเกตที่ 1 ดอกผลที่เกิดจากการเก็บรักษาเงินรับชําระค่าข้าวจากการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ(G to G) ตามโครงการรับจํานําข้าวเปลือกของรัฐบาลยังไม่มีแนวทางดําเนินการนําส่งดอกผลดังกล่าว
จากการตรวจสอบ พบว่ามีดอกผลที่เกิดจากการเก็บรักษาเงินรับชําระค่าข้าวในสมุดบัญชีออมทรัพย์ของกรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งยังไม่มีการนําส่งให้กับหน่วยงานใด ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 เป็นเงินประมาณ 85.91 ล้านบาท ทั้งนี้คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2555 สําหรับดอกผลที่เกิดขึ้นจากการเก็บรักษาเงินค่าชําระสินค้าตามโครงการ ให้หน่วยงานที่ได้ดําเนินการจําหน่ายสินค้า ได้แก่องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ดําเนินการนําส่งดอกผลดังกล่าวเป็นรายได้แผ่นดินทันทีเนื่องจากเป็นโครงการที่รัฐบาลรับภาระ และเป็นรายได้ที่องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ไม่พึงได้อย่างไรก็ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมในส่วนที่กรมการค้าต่างประเทศได้รับชําระค่าข้าวตามสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ(G to G)
ข้อเสนอแนะ
สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีข้อเสนอแนะให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศพิจารณาดําเนินการเกี่ยวกับรายการดอกผลที่เกิดจากการเก็บรักษาเงินชําระค่าข้าวจากการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G)ว่าควรมีการนําส่งให้กับหน่วยงานใดหรือบัญชีใด โดยเร่งรัดดําเนินการให้ถูกต้องโดยเร็ว
ข้อสังเกตที่ 2 ตัวแทนที่ได้รับแต่งตั้งจากผู้ซื้อตามสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G)ในเทอม Ex-warehouse บางรายมีสถานะเลิกดําเนินกิจการ
จากการตรวจสอบสถานะนิติบุคคลของบริษัทที่เป็นตัวแทนของผู้ซื้อ จํานวน 4 แห่ง ซึ่งยังดําเนินการชําระเงินและรับมอบข้าวไม่ครบถ้วนตามสัญญาซื้อขาย พบว่า บริษัทที่เป็นตัวแทนของผู้ซื้อจํานวน2 แห่ง ได้เลิกดําเนินกิจการแล้ว โดยบริษัทที่เป็นตัวแทนของ Haikou Liangyunlai Cereals and OilsTrading Co.,Ltd. มีการชําระเงินและรับมอบข้าวแล้วเพียงร้อยละ 5.07 ของปริมาณข้าวตามสัญญาซื้อขาย และบริษัทที่เป็นตัวแทนของ Hainan Land Reclamation Commerce and Trade GroupCo.,Ltd. มีการชําระเงินและรับมอบข้าวแล้วประมาณร้อยละ 78.38 ของปริมาณข้าวตามสัญญาซื้อขาย
ดังนั้น หากผู้ซื้อมีการแจ้งความประสงค์ขอชําระเงินและต้องการรับมอบข้าวในงวดต่อไป กรมการค้าต่างประเทศจําเป็นต้องพิจารณาถึงตัวแทนของผู้ซื้อดังกล่าว รวมทั้งดําเนินการแจ้งให้องค์การคลังสินค้า(อคส.) หรือองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงตัวแทน เพื่อให้การควบคุมการจ่ายข้าวเป็นไปตามระบบการควบคุมที่ดีต่อไป
ข้อเสนอแนะ
สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีข้อเสนอแนะให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศพิจารณาดําเนินการตรวจสอบสถานะของตัวแทนของผู้ซื้อให้เป็นปัจจุบัน และจัดส่งข้อมูลเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการแต่งตั้งตัวแทนให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ทราบ รวมทั้งหากมีการเปลี่ยนแปลงผู้แทนให้แจ้งหน่วยงานดังกล่าวทราบด้วยเพื่อให้การควบคุมการจ่ายข้าวเป็นไปตามระบบการควบคุมที่ดี