- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- ย้อนคดี“ไร่ส้ม-สรยุทธ”ยืดเยื้อ 2 ปี ก่อน อสส.เห็นพ้องป.ป.ช.ขยับฟ้องศาล
ย้อนคดี“ไร่ส้ม-สรยุทธ”ยืดเยื้อ 2 ปี ก่อน อสส.เห็นพ้องป.ป.ช.ขยับฟ้องศาล
“…บัดนี้คดีดังกล่าวขยับเข้าไปใกล้กระบวนการในชั้นศาลเข้าไปทุกที ภายหลัง อสส. เห็นพ้องต้องกันกับ ป.ป.ช. ควรส่งฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 ราย ซึ่งต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่า ที่สุดแล้ว ในการประชุมหาข้อยุตินัดสุดท้าย ทิศทางการประชุมจะตรงกันกับความคิดเห็นของ อสส. หรือจะมี “เซอร์ไพรส์” อะไรออกมาทำให้คดีนี้ต้องยืดเยื้อออกไปอีก…”
เหลือเพียงการนำรายงานผลการพิจารณาของอัยการสูงสุด (อสส.) ให้แก่ฝ่ายคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณาหาข้อยุติครั้งสุดท้ายเท่านั้น สำหรับคดี “ไร่ส้ม-สรยุทธ” ที่ยืดเยื้อยาวนานมากว่า 2 ปีเศษ ภายหลัง อสส. พิจารณาเห็นพ้องกับ ป.ป.ช. ว่าคดีนี้สมควรสั่งฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด 4 คน แบ่งเป็นพนักงาน อสมท. 2 คน นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรเล่าข่าวชื่อดัง และบริษัท ไร่ส้ม จำกัด
(อ่านประกอบ : อสส.เห็นร่วมป.ป.ช.ควรส่งฟ้องคดี“ไร่ส้ม-สรยุทธ”ปมเงินโฆษณา 138 ล.)
เพื่อขยายความเข้าใจในคดีนี้ต่อสาธารณชนให้ชัดขึ้น! สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เรียบเรียงข้อมูลตั้งแต่ ป.ป.ช. รับเรื่อง จนกระทั่งชี้มูลความผิด แต่งตั้งคณะทำงานร่วมฯพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ มานำเสนออีกครั้งดังนี้
ภายหลังนายสรยุทธ จัดตั้งบริษัท ไร่ส้ม จำกัด โดยมีนายสรยุทธ เป็นกรรมการผู้จัดการ มี น.ส.อังคณา วัฒนมงคลศิลป์ และ น.ส.สุกัญญา แซ่ลิ้ม เป็นกรรมการบริษัทแล้วนั้น ได้ทำสัญญาผลิตรายการกับบริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2549 ร่วมกันผลิตรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. โดย อสมท. ตกลงแบ่งเวลาโฆษณาให้บริษัท ไร่ส้มฯ ได้ครั้งละ 5 นาที ถ้ามีโฆษณาเกินกว่ากำหนด บริษัท ไร่ส้มฯ จะต้องชำระค่าโฆษณาเกินเวลาให้ อสมท. ในอัตรานาทีละไม่ต่ำกว่า 2 แสนบาท และร่วมผลิตรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ทุกคืนวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 21.30-22.00 น. โดย อสมท. ตกลงแบ่งเวลาโฆษณาให้บริษัท ไร่ส้มฯ ได้ครั้งละ 2 นาที 30 วินาที ถ้ามีโฆษณาเกินกว่ากำหนด บริษัท ไร่ส้มฯ ต้องชำระค่าโฆษณาเกินเวลาให้ อสมท. ในอัตรานาทีละไม่ต่ำกว่า 2.4 แสนบาท
อย่างไรก็ดีข้อเท็จจริงการไต่สวนของ ป.ป.ช. ภายหลังมีมติเอกฉันท์ชี้มูลความผิด เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2555 ปรากฏว่า นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด (นางชนาภา บุญโต) เจ้าหน้าที่ธุรการระดับ 5 สำนักกลยุทธ์การตลาด อสมท. เป็นผู้รับผิดชอบผู้เดียวในการจัดทำคิวโฆษณารวมและเป็นผู้รายงานโฆษณาเกินเวลาเพื่อเรียกเก็บเงินจากบริษัท ไร่ส้มฯ ได้ให้ความช่วยเหลือบริษัท ไร่ส้มฯ โดยไม่มีการรายงานการโฆษณาเกินเวลาของบริษัท ไร่ส้มฯ เพื่อเรียกเก็บเงิน ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2549
จากการไต่สวนปรากฏว่า นายสรยุทธ ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คของธนาคารธนชาติ สาขาพระราม 4 จ่ายเงินให้นางพิชชาภา โดยมีการทำเอกสารหักภาษี ณ ที่จ่ายรวม 6 ครั้ง เป็นเงิน 739,770 บาท เพื่อตอบแทนที่นางพิชชาภา มิได้รายงานการโฆษณาเกินเวลาของบริษัท ไร่ส้มฯ
ต่อมาเมื่อเดือนกรกฎาคม 2549 นางบุณฑนิก บูลย์สิน รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักการตลาด 1 ได้สังเกตพบว่า รายการข่าวเที่ยงคืน มีการออกอากาศล่าช้ากว่าเวลาที่กำหนด จึงได้ทำการตรวจสอบและได้เรียกนางพิชชาภามาสอบถามต่อหน้าทุกคน ซึ่งนางพิชชาภาได้รับสารภาพต่อหน้าทุกคนว่า บริษัท ไร่ส้มฯ มีการโฆษณาเกินเวลา และไม่มีการรายงานเพื่อเรียกเก็บเงินจริง และนางพิชชาภาได้ใช้น้ำยาลบคำผิดเฉพาะคิวโฆษณาเกินเวลาในส่วนของบริษัท ไร่ส้มฯ ในใบคิวโฆษณารวมของ อสมท. เพื่อปกปิดความผิดที่ได้กระทำขึ้นตามคำแนะนำของนายสรยุทธ และ น.ส.มณฑา ธีระเดช พนักงานของบริษัท ไร่ส้มฯ ก่อนที่จะเกิดการตรวจสอบเรื่องนี้ขึ้น
หลังจากนั้นบริษัท ไร่ส้มฯ ได้มีการชำระเงินค่าโฆษณาส่วนเกินให้กับ อสมท. ในวันที่ 31 สิงหาคม 2549 และวันที่ 15 กันยายน 2549 เป็นจำนวนเงิน 103,953,710 บาท โดยบริษัท ไร่ส้มฯ ขอหักส่วนลด 30% จากยอดทั้งหมดจำนวน 138,790,000 บาท แต่ อสมท. ไม่ยินยอมให้หักส่วนลด 30% เนื่องจากบริษัท ไร่ส้มฯ มิได้ปฏิบัติตามสัญญาที่ทำกันไว้ และไม่ได้ชำระเงินให้ถูกต้องตามสัญญา อสมท. จึงคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 138,790,000 บาท นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2548 ถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2549 เป็นจำนวนเงิน 4,464,197 บาท พร้อมภาษีมูลค่าเพิ่ม 9,715,300 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 152,969,497 บาท ซึ่งบริษัท ไร่ส้มฯ ยินยอมชำระเงินดังกล่าวให้ อสมท. ในวันที่ 20 ตุลาคม 2549
ทั้งนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าการกระทำของนางพิชชาภา มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญา ตามมาตรา 6, 8, 11 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 การกระทำของนางอัญญา อู่ไทย ซึ่งเป็นหนัวหน้างานและเป็นผู้บังคับบัญชาในฝ่ายสนับสนุนและบริการลูกค้า สำนักกลยุทธการตลาด อสมท. มีมูลความผิดทางวินัย
การกระทำของนายสรยุทธ และ น.ส.มณฑา ซึ่งได้ใช้ให้นางพิชชาภา ไม่ต้องรายงานการโฆษณาเกินเวลาที่กำหนดในสัญญา ให้กับผู้บังคับบัญชาทราบ และบริษัท ไร่ส้มฯ (ในฐานะนิติบุคคล) มีมูลความผิดฐานสนับสนุนพนักงานกระทำความผิดตามมาตรา 6, 8, 11 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
จึงมีมติให้ส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหา ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อพิจารณาโทษทางวินัยและให้ส่งรายงานเอกสาร และความเห็นไปยัง อสส. เพื่อดำเนินคดีอาญากับผู้ถูกกล่าวหาตามฐานความผิดดังกล่าวข้างต้น ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 92 และมาตรา 97 แล้วแต่กรณี
ทั้งนี้ภายหลังคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดดังกล่าว ปรากฏว่า มีภาคประชาสังคมและภาคธุรกิจ ออกมาเรียกร้องเคลื่อนไหวด้านจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนต่อนายสรยุทธ เป็นจำนวนมาก หลากหลายองค์กร ขณะที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายศุภชัย ศรีหล้า ส.ส.อุบลราชธานี (ขณะนั้น) พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธาน ก็เดินหน้าตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
ด้านนายสรยุทธ ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับกับกระแสสังคมดังกล่าว หลังจากถูกชี้มูลได้ชี้แจงผ่านรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 น้อมรับคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. แต่ต้องการไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงในชั้นศาล หลังจากนั้นวันที่ 31 ตุลาคม 2555 นายสรยุทธ ได้ส่งหนังสือขอปฏิเสธการเดินทางมาให้ถ้อยคำต่อคณะอนุ กมธ. โดยอ้างว่า เรื่องดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม บริษัท ไร่ส้มฯ จึงจำเป็นต้องสงวนข้อมูลข้อเท็จจริงในการต่อสู้คดี พร้อมชี้แจงต่อกระแสทวงถามด้านจริยธรรมว่า
“คดีความที่เกิดขึ้นเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจของบริษัท และไม่มีส่วนกระทบใดๆ ต่อการทำรายการของผม ซึ่งนำเสนอข้อมูลตามความเป็นจริงเพื่อประโยชน์ต่อสังคม โดยไม่บิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันเป็นจรรยาบรรณสำคัญในการนำเสนอที่ผมยึดถือมา ตลอดชีวิตการทำงาน”
ขณะเดียวกันก็ใช้สิทธิยื่นฟ้องศาลปกครองเรียกร้องเงินกรณีค่าโฆษณาส่วนเกินจาก อสมท.กว่า 253 ล้านบาทด้วย
อย่างไรก็ดี หลังจาก ป.ป.ช. ส่งสำนวนการไต่สวนคดีนี้ให้กับ อสส. ปรากฏว่า อสส. เห็นว่าสำนวนคดีนี้ยังมีข้อไม่สมบูรณ์ในหลายประเด็น ขณะที่นายสรยุทธ ได้ทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อ อสส. ด้วย ทำให้คณะทำงานทั้งสองฝ่ายไม่สามารถที่จะหาข้อยุติร่วมกันได้ เนื่องจาก ป.ป.ช. เห็นว่าสำนวนการไต่สวนคดีนี้มีความสมบูรณ์แล้ว
หลังจากนั้นได้มีการประชุมคณะทำงานร่วมฯทั้งสองฝ่ายพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ในคดีนี้ ยืดเยื้อยาวนานกว่าปีเศษ โดยมีกระแสข่าวมาตลอดว่า อสส. ไม่ต้องการเป็นผู้ฟ้องคดีเอง ต่อมาในปี 2557 ได้เรียกพนักงาน อสมท. มาสอบเพิ่มเติมจำนวน 3 คน กระทั่งเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2557 มีการประชุมนัดสุดท้าย โดยนายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานอนุฯไต่สวนคดีนี้ เห็นว่า การประชุมในครั้งนี้ได้ข้อยุติสมบูรณ์แล้ว เห็นควรให้ อสส. เป็นผู้ฟ้องคดีได้ ก่อนจะส่งสำนวนการไต่สวนฉบับล่าสุดให้แก่ อสส.
และล่าสุด เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2557 อสส. ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนคดีนี้ของ ป.ป.ช. แล้วมีความเห็นตรงกันกับ ป.ป.ช. ว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 คน (พนักงาน อสมท. 2 คน-นายสรยุทธ 1 คน-บริษัท ไร่ส้มฯ) มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดจริง จึงให้คณะทำงานฝ่าย อสส. นำความเห็นนี้กลับไปยังคณะทำงานฝ่าย ป.ป.ช. พิจารณาข้อยุติอีกครั้ง
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลสังเขปในคดี “ไร่ส้ม-สรยุทธ” ที่ยืดเยื้อยาวนานมากกว่า 2 ปี เรียกสอบพยานบุคคลและพยานเอกสารเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งการร้องขอความเป็นธรรมของนายสรยุทธ และการออกมากดดันของภาคประชาสังคมในเรื่องจริยธรรมทางวิชาชีพของนายสรยุทธ
บัดนี้คดีดังกล่าวขยับเข้าไปใกล้กระบวนการในชั้นศาลเข้าไปทุกที ภายหลัง อสส. เห็นพ้องต้องกันกับ ป.ป.ช. ควรส่งฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 รายดังกล่าว ซึ่งรวมไปถึงนายสรยุทธ และบริษัท ไร่ส้มฯ ด้วย
ซึ่งต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่า ที่สุดแล้ว ในการประชุมหาข้อยุตินัดสุดท้าย ทิศทางการประชุมจะตรงกันกับความคิดเห็นของ อสส. หรือจะมี “เซอร์ไพรส์” อะไรออกมาทำให้คดีนี้ต้องยืดเยื้อออกไปอีก
อ่านประกอบ :
ย้อนรอยคดี"สรยุทธ-ไร่ส้ม"ก่อน ป.ป.ช.ส่งสำนวนให้ อสส.ยื่นฟ้องศาล!
นกน้อยในไร่ส้ม 10 ปี “สรยุทธ” 3,890 ล้าน