- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- บิ๊กศาลปกครอง ยันทำจม.น้อย หนุนเพื่อนหลาน"หัสวุฒิ"เป็นผกก.ไม่ผิดกม.
บิ๊กศาลปกครอง ยันทำจม.น้อย หนุนเพื่อนหลาน"หัสวุฒิ"เป็นผกก.ไม่ผิดกม.
เลขาธิการฯ ศาลปกครอง เตรียมออกแถลงการณ์ 6 ข้อ แจงปมทำ "จดหมายน้อย" แจ้ง "ผบ.ตร." สนับสนุน "พ.ต.ท.ชูธเรศ" เพื่อนสนิทหลานชายปธ.ศาลปกครองสูงสุด ขึ้นชั้น"ผกก." ยันไม่ได้แทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้าย แค่สนับสนุนชื่นชมการทำงานตามทำเนียมปกติ ชี้สถานการณ์ทางการเมืองไม่ปกติ จำเป็นต้องมีคนไว้ใจได้ดูแล ย้ำรายละเอียดแตกต่างจาก "ถวิล เปลียนศรี" ขู่ใครเอาข้อมูลนี้ไปใช้ในทางมิชอบ อาจถูกดำเนินคดี
จากกรณี นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ได้ทำบันทึกข้อความไม่เป็นทางการ ไปถึง ผบ.ตร. สนับสนุน พ.ต.ท.ชูธเรศ ยิ่งยงดำรงกุล รองผกก.ป. สน.หัวหมาก เป็นผู้กำกับการ (ผกก.) โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพื่อนสนิทหลายชาย นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด และได้ช่วยดูแลการปฏิบัติภารกิจของประธานศาลปกครองสูงสุดในหลายโอกาส ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องความเหมาะสมและมองว่าเป็นการแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจประจำปี 2556 นั้น (ดูเอกสารท้ายข่าว)
ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า ขณะนี้ นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง อยู่ระหว่างการทำบันทึกข้อความเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ต่อสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการ ใน 6 ประเด็นหลัก โดยมีรายละเอียดดังนี้
" เหตุผลที่เลขาธิการสำนักงานศาลปกครองทำหนังสือส่วนตัวถึง รอง ผบ.ตร. และ ผบ.ตร.เพื่อสนับสนุนข้าราชการตำรวจ
1.เรื่องนี้สอดคล้องกับความเห็นท่านประธานที่เห็นควรให้มีตำรวจศาล ซึ่งเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ไว้วางใจได้
2.การเดินทางนอกเวลาราชการของท่านประธาน จำเป็นต้องประสานตำรวจเพื่อรักษาความปลอดภัย ซึ่งเป็นหน้าที่ของเลขาธิการฯ
3.การพิจารณาขอให้ตำรวจบางนายที่ไว้วางใจได้ เช่น เคยร่วมงาน หรือ เป็นญาติ หรือเป็นเพื่อนกับญาติที่รู้ประวัติภูมิหลัง มาช่วยเรื่องการรักษาความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องมีเหตุผล
4.การส่งข้อมูลบุคคลที่ได้ช่วยปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นประโยชน์ต่อทางราชการ รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ เป็นเรื่องปกติที่ผู้ได้รับการช่วยเหลือจะส่งข้อมูลให้ทราบและพิจารณาสนับสนุนซึ่งก็เป็นอำนาจโดยแท้ของผู้บังคับบัญชา ที่ไม่อาจแทรกแซงได้โดยหน่วยงานหรือบุคคลอื่น
5.การเขียนและส่งข้อมูลดังกล่าวเป็นส่วนตัวในกรณีนี้ ไม่ผิดกฏหมาย หรือต้องห้ามตามกฏหมายใดๆ
6.การนำข้อมูลภายในส่วนราชการไปเผยแพร่และกล่าวหา ใส่ร้าย ให้บุคคลอื่น หรือสาธารณะเชื่อไปในทางที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงและทำให้เกิดความเสียหายต่อหน่วยงานหรือบุคคล อาจถูกพิจารณาดำเนินคดีได้ จึงขอความร่วมมือผู้รับข่าวสารประกอบความเห็นบิดเบือนดังกล่าว อย่าได้ร่วมกระทำผิดในการเผยแพร่ต่อ โดยขาดการใช้วิจารณญาณ
ขณะที่นายดิเรกฤทธิ์ ให้สัมภาษณ์ยืนยันทางโทรศัพท์สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ว่า ได้จัดทำคำชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องนี้ให้สื่อมวลชนรับทราบใน 6 ประเด็นหลักจริง เพราะไม่ต้องให้สังคมเกิดความสับสนในเรื่องนี้ หลังจากที่มีคนบางกลุ่มนำเรื่องนี้ ไปเชื่อมโยงข้อมูลคดีการโยกย้ายตำแหน่งนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภา ความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวยืนยันกับสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ว่า "ผมได้ทำจดหมายน้อยไปแจ้งสนับสนุน พ.ต.ท.ชูธเรศ จริง และก่อนดำเนินการได้มีการเรียนให้ท่านประธานศาลปกครองสูงสุดรับทราบด้วย เพราะเห็นว่า พ.ต.ท.ชูธเรศ เข้ามาช่วยงานราชการหลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์ที่ไม่ปกติแบบนี้ ซึ่งเราต้องการคนที่ไว้ใจได้เข้ามาช่วยงาน ไม่ใช่ใครก็ไม่รู้ และมาแทงข้างหลังเราในภายหลัง"
นายดิเรกฤทธิ์ ยังยืนยันว่า "พ.ต.ท.ชูธเรศ เป็นเพื่อนของหลานท่านประธานศาลปกครองสูงสุด ทางเราก็ชื่นชมการทำหน้าที่ของเขา จึงได้แจ้งเรื่องไปที่หน่วยงานของเขาให้รับทราบไว้พิจารณา ประกอบการเลื่อนตำแหน่งในอนาคตเท่านั้น ไม่ได้เป็นการแทรกแซง หรือใช้อำนาจอะไรไปบังคับให้ทำตาม"
นายดิเรกฤทธิ์ ยังกล่าวย้ำด้วยว่า "บันทึกที่ผมทำไปก็ไม่ได้เป็นหนังสื่อราชการเป็นทางการ ทำเหมือนเป็นจดหมายน้อยไป ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าจะต้องทำให้ได้นะ ต้องทำในช่วงเวลานั้นเวลานี้ ซึ่งกรณีแบบนี้ เท่าที่ทราบตำรวจหลายคนก็ทำกันอยู่เป็นปกติ ไม่ได้เป็นเรื่องผิดกฎหมายอะไร "
"เราชื่นชมเขา เพราะเขาทำงานดี เมื่อเขามาช่วยเรา เราก็แค่ทำหนังสือไปช่วยการันตีผลงานให้เท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ผมก็เพิ่งทำเป็นครั้งแรก แต่ถ้ามันจะผิดผมก็ยอมรับ ว่ากันตรงไปตรงมา แต่ไม่อยากให้ใครนำเรื่องนี้ไปเชื่อมโยงเป็นเรื่องการเมือง หรือไปเปรียบเทียบกับกรณีการโยกย้ายตำแหน่งของคุณถวิล ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน ไม่ถูกต้องเลย" นายดิเรกฤทธิ์ระบุ
อ่านประกอบ :
ปริศนา(อีกแล้ว)! ประธานศาลปค.แค่ 1 เดือน ตรวจราชการซ้ำ 2 ครั้งที่พิษณุโลก
ปธ.ศาลปกครอง ชี้ เปลี่ยนองค์คณะตุลาการ “พระวิหาร” ให้ดูผลที่ไทยได้รับ