- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- “เปลี่ยนสำนวน-ตัดหลักฐาน” ความบิดเบี้ยวการทำคดีของตำรวจ
“เปลี่ยนสำนวน-ตัดหลักฐาน” ความบิดเบี้ยวการทำคดีของตำรวจ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่อาคารซอฟท์แวร์ปาร์ค คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ได้จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อกรณีผู้ได้รับผลกระทบจากกระบวนการ ยุติธรรมทางอาญา

(ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต)
ช่วงหนึ่ง “นายสุวิทย์ บุตรพริ้ง” นักข่าวอาชญากรรมและข่าวสืบสวนสอบสวนจาก นสพ.ไทยรัฐ เล่าประสบการณ์ตรงจากการทำข่าว เกี่ยวกับช่องโหว่กระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน โดยเฉพาะเรื่องการ “เปลี่ยนสำนวน” เพื่อช่วยเหลือพวกเดียวกันเอง โดยยกตัวอย่าง 2 กรณี
เขาเล่าว่า กรณีแรก เมื่อหลายปีก่อน เพื่อนรุ่นพี่จับตัวคนที่เข้าไปจะขโมยของในบ้านไปที่สถานีตำรวจนครบาล (สน.) แต่ปรากฏว่าเมื่อไปถึงร้อยเวรกลับไม่อยู่ ทำให้เขากับคนร้าย 2 คน ต้องนั่งรออยู่กว่า 3 ชั่วโมง พอตนรู้ก็เลยเขียนเป็นข่าวว่าร้อยเวรหนีเวร ร้อยเวรคนนั้นก็ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งโทษสูงสุดคือไล่ออกจากราชการ แต่ปรากฏว่ามีการเปลี่ยนสำนวนทำให้ร้อยเวรคนดังกล่าวไม่มีความผิด
“กรณีที่สอง เกิดขึ้นที่ สน.พญาไท ผมเห็นตำรวจอุ้มผู้หญิงคนหนึ่งเข้าไปใน สน. แล้วผู้หญิงก็วิ่งหนีออกมา มีการฉุดลากกัน 3-4 ครั้ง จนผู้หญิงวิ่งมาหาผมที่ยืนส่งข่าวอยู่ ผมเลยเห็นว่าตำรวจที่ตามมาใส่กางเกงในตัวเดียว ผู้หญิงก็บอกว่ามันฉุดหนุนมาข่มขืน ตำรวจที่ตามมาเห็นผมเป็นนักข่าว ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากถีบกระโปรงรถ เท่านั้นแหล่ะเป็นข่าวพาดหัวเลย จากนั้นผู้ที่ทำหน้าที่สอบสวนตำรวจคนดังกล่าว ก็มาหาผมแล้วบอกว่าในสำนวนนี่จะเปลี่ยนให้มันใส่เสื้อได้ไหม ไม่งั้นมันจะโดนให้ออก ถ้ามันออกไปมันเป็นโจรนะ ให้มันอยู่ดีกว่า ผมก็ โอ้โห! งี้เลยเหรอ ข่าวผมมันผิดเลยนะ” นายสุวิทย์ กล่าว
นายสุวิทย์ยังกล่าวว่า ผลจากความบกพร่องของกระบวนการยุติธรรมชั้นต้นอย่างการเปลี่ยนสำนวน ทำให้สังคมไทยต้องสูญเสียตำรวจดีๆ บางคนไป เพราะบางครั้งถูกผู้บังคับบัญชาสั่งมา ให้ช่วยเหลือพรรคพวกเพื่อนฝูง และหากไม่ทำตามอาชีพการงานก็ไม่ก้าวหน้า
“ที่เห็นชัดเจนคือคดีนายตำรวจรายหนึ่งยิงตัวตาย แล้วมีการให้ข่าวบิดเบือนว่าผู้ตายเครียด มีปัญหาส่วนตัว ในงานศพนายตำรวจคนนี้ พอภรรยาผู้ตายเห็นพวงหรีดจากผู้บังคับบัญชาของผู้ตายส่งมาแสดงความเสียใจ เท่านั้นแหล่ะเขาก็เอาพวงหวีดขว้างทิ้งแล้วใช้เท้าขยี้ต่อหน้าตำรวจทั้งศาลา ผมก็เข้าไปถามได้ความว่า สามีเครียดเพราะผู้บังคับบัญชาสั่งให้ทำสำนวนช่วยเหลือพรรคพวกของผู้บังคับบัญชารายดังกล่าวไม่ให้มีความผิด ถ้าทำสำนวนมาว่าผิดก็จะไม่เซ็นผ่านให้ ทำให้ผู้ตายเกิดความเครียด สุดท้ายก็ยิงตัวตาย” นายสุวิทย์กล่าว
ผู้สื่อข่าว นสพ.ไทยรัฐ รายนี้ ยังยกตัวอย่างอีกคดีซึ่งอื้อฉาวมากเมื่อปีก่อน กรณีที่ทายาทมหาเศรษฐีรายหนึ่งขับรถยนต์ชนตำรวจเสียชีวิต ที่สะท้อนถึงการทำหน้าที่โดยมิชอบของพนักงานสอบสวนอย่างชัดเจน เพราะมีการเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาเลย จากทายาทมหาเศรษฐีเป็นคนขับรถ นี่คือตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม
ด้าน “พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร” รองผู้บังคับการกองตรวจราชการ จเรตำรวจ กล่าวกับ “สำนักข่าวอิศรา” ยอมรับว่า ความบกพร่องของพนักงานสอบสวนถือเป็นปัญหาต่อสังคมไม่น้อย เห็นได้จากสถิติอาชญากรรมที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี แต่กลับจับผู้กระทำผิดแทบไม่ได้ ทั้งนี้ มีคำถามว่าการกระทำความผิดที่รัฐเป็นผู้เสียดายและมีโทษทางอาญา มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องนับพันฉบับ อาทิ เล่นการพนัน พกพาอาวุธ ค้ายาเสพติด บุกรุกที่สาธารณะ ลักลอบต้นไม้ ขนของหนีภาษี ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ทราบถึงการกระทำผิดหรือไม่ และหากรับรู้จับกุมผู้กระทำผิดหรือไม่ และเมื่อทำคดีส่งไปให้อัยการแล้วมีการสั่งฟ้องกี่คดี
“การเข้าถึงความยุติธรรมทางอาญาของประชาชนจะเริ่มจากการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) กำหนดไว้ว่าห้ามมิให้ผู้ใดฟ้องคดีอาญาโดยมิได้มีการสอบสวนความผิดนั้นมาก่อน เพราะฉะนั้น ถ้าตำรวจไม่สอบสวน อัยการจะเอาสำนวนคดีที่ไหนไปฟ้อง” พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าว
พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าวว่า อำนาจในการสอบสวนและการรวบรวมพยานหลักฐานจึงเป็นอำนาจที่สำคัญ ถ้าตำรวจไม่รับแจ้งความ ไม่ยอมสอบสวน ไม่ยอมรวบรวมหลักฐาน หรือรวบรวมแต่ไม่ครบถ้วน เมื่อหลักฐานสำคัญถูกตัด ไม่ปรากฏร่องรอยในสำนวนการสอบสวน อัยการจะส่งฟ้งได้อย่างไร เพราะอัยการเวลานี้ทำงานเหมือนบุรุษไปรษณีย์ นำคดีไปฟ้องเฉพาะที่ตำรวจต้องการให้ขึ้นสู่ศาลเท่านั้น
รองผู้บังคับการกองตรวจราชการ จเรตำรวจ ยังกล่าวว่า วัฒนธรรมการ “วิ่งตำรวจ” หรือการวิ่งเต้นให้หลุดคดีผ่านตำรวจเป็นที่รับรู้และยอมรับกันทั่วไป ทั้งวิ่งเต้นไม่ให้รับแจ้งความ ไม่สอบสวน หรือบิดเบือนตกแต่งเป็นเท็จ ผู้กระทำความผิดจำนวนมาก จึงไม่ถูกลงโทษตามกฎหมาย
“ทุกวันนี้ความจริงและความเท็จปะปนกันจนแยกไม่ออก โดยเฉพาะข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดทางอาญา และตำรวจคือผู้กำหนดว่าจะทำให้ความจริงหรือข้อเท็จจริงนั้นปรากฏหรือไม่” พ.ต.อ.วิรุตม์กล่าว.
