- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- ดูชัดๆ "อัยการ" คนไหนนั่งบอร์ดรัฐวิสาหกิจมากที่สุด -"จุลสิงห์" ควบ 3 แห่ง
ดูชัดๆ "อัยการ" คนไหนนั่งบอร์ดรัฐวิสาหกิจมากที่สุด -"จุลสิงห์" ควบ 3 แห่ง
"..แม้ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 255 วรรค 6 ระบุว่าห้ามมิให้พนักงานอัยการเป็นที่ปรึกษาหรือดำรงตำแหน่งอื่นในรัฐวิสาหกิจหรือกิจการอื่นของรัฐ เพื่อป้องกันมิให้พนักงานอัยการใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ แต่หากได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการอัยการก็สามารถทำได้.."
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2556 สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า (thaipublica.org) ได้อ้างอิงข้อมูล เครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย (TPD-Thailand Political Database) ที่เผยแพร่รายงานการตรวจสอบกรณีที่อัยการของสำนักงานคณะอัยการดำรงตำแหน่งกรรมการ (บอร์ด) ในรัฐวิสาหกิจ พบว่าในปี 2556 มีอัยการเข้าไปเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจจำนวน 4 คน ประกอบไปด้วย
1. นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด และประธานคณะกรรมการอัยการ ดำรงตำแหน่งกรรมการรัฐวิสาหกิจ 3 แห่ง ได้แก่ 1. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 2. บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ 3. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
2. นายถาวร พานิชพันธ์ รองอัยการสูงสุด และคณะกรรมการอัยการ ดำรงตำแหน่งกรรมการรัฐวิสาหกิจ 1 แห่ง คือ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
3. นายตระกูล วินิจนัยภาค รองอัยการสูงสุด และคณะกรรมการอัยการ ดำรงตำแหน่งกรรมการรัฐวิสาหกิจ 2 แห่งได้แก่ 1. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 2. โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง
4. นายเข็มชัย ชุติวงศ์ คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ดำรงตำแหน่งกรรมการรัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง ได้แก่ 1. บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) 2. ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังในเรื่องดังกล่าว ตั้งแต่ปี 2553-2555 พบว่า มีอัยการหลายคนเข้าไปดำรงตำแหน่งในกรรมการรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะในปี 2553 มีอัยการที่ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ จำนวน 6 คน คือ นายชัยเกษม นิติสิริ, นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์, นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ, นายวิชาญ ธรรมสุจริต, นายอรรถพล ใหญ่สว่าง และนายวีระชัย คล้ายทอง ซึ่งอัยการทั้ง 6 คนนี้ ได้เข้าไปเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจตั้งแต่ 2 แห่งขึ้นไป
ทั้งนี้ อัยการที่ได้รับค่าตอบแทนรวมมากที่สุด คือ นายชัยเกษม นิติสิริ ได้เข้าไปเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ 3 แห่ง คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยได้รับค่าตอบแทนรวมทั้งหมด 3,203,732.18 บาท
รองลงมาคือ นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ ได้เข้าไปเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ 3 แห่ง คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงไทยจำกัด (มหาชน) ได้รับค่าตอบแทนรวมทั้งหมด 954,709.8 บาท และอันดับ 3 คือ นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ได้เข้าไปเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง คือ การไฟฟ้านครหลวง และบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้รับค่าตอบแทนรวมทั้งหมด 766,913 บาท
ขณะที่ในปี 2554 มีอัยการทั้งหมดจำนวน 10 คนที่เข้าไปเป็นบอร์ดของรัฐวิสาหกิจ โดยอัยการที่ได้รับค่าตอบแทนรวมมากที่สุด คือ นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ได้เข้าไปเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ 4 แห่ง ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้รับค่าตอบแทนรวมทั้งหมด 4,902,731.65 บาท
รองลงมาคือ นายชัยเกษม นิติสิริ ได้เข้าไปเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้รับค่าตอบแทนรวมทั้งหมด 1,483,531.36 บาท และอันดับ 3 คือ นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ ได้เข้าไปเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท ขนส่ง จำกัด และการท่าเรือแห่งประเทศไทย ได้รับค่าตอบแทนรวมทั้งหมด 1,348,825.81 บาท
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 255 วรรค 6 ระบุว่าห้ามมิให้พนักงานอัยการเป็นที่ปรึกษาหรือดำรงตำแหน่งอื่นในรัฐวิสาหกิจหรือกิจการอื่นของรัฐ เพื่อป้องกันมิให้พนักงานอัยการใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ แต่หากได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการอัยการก็สามารถทำได้
ทั้งนี้ แม้ว่านายจุลสิงห์ได้เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการรัฐวิสาหกิจทั้งหมด 4 แห่ง ตามรายงานประจำปี 2554 ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจนั้น แต่พบว่าระยะเวลาการดำรงตำแหน่งดังกล่าวไม่ได้ทับซ้อนกันเกิน 3 แห่ง จึงไม่ผิดตาม พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 มาตรา 7 ที่กำหนดว่า ผู้ใดจะดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจเกินสามแห่งมิได้
สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า ยังอ้างถึงบทสัมภาษณ์ของ นายจรัส สุวรรณมาลา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2550 (สสร.50) ระบุว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 กำหนดให้องค์กรอัยการเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ มีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะอัยการของแผ่นดิน ซึ่งยกฐานะจากการเป็นส่วนราชการ อีกทั้งต้องการให้พนักงานอัยการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน จึงห้ามมิให้พนักงานอัยการเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจหรือกิจการอื่นใด โดยเฉพาะการเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ ถ้ากรรมการหรือผู้บริหารรัฐวิสาหกิจกระทำผิดกฎหมาย หน่วยตรวจสอบหรือผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายก็ต้องเสนอเรื่องผ่านสำนักงานอัยการ เพื่อพิจารณาฟ้องร้องผู้กระทำผิดต่อศาล ซึ่งหากพนักงานอัยการเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำผิดเสียเอง จะไม่ฟ้องร้องเอาผิดกับตัวเอง
นายจรัสยังกล่าวถึงกรณีที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้มีข้อยกเว้นให้คณะกรรมการอัยการ สามารถให้ความเห็นชอบให้พนักงานอัยการเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจได้ว่า เนื่องจากระหว่างการร่างรัฐธรรมนูญนั้น ได้รับการชี้แจงจากสำนักงานอัยการสูงสุดว่า พนักงานอัยการอาจจำเป็นต้องเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจบางแห่ง เพราะมีบทบัญญัติในกฎหมายรัฐวิสาหกิจกำหนดให้พนักงานอัยการเป็นกรรมการโดยตำแหน่งไว้ ถ้าพนักงานอัยการเป็นกรรมการไม่ได้ กรรมการรัฐวิสาหกิจเหล่านั้นก็จะไม่ครบองค์คณะ ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ หากจะให้ดำเนินการได้ ก็ต้องไปแก้กฎหมายรัฐวิสาหกิจเหล่านั้น ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเสียก่อน ซึ่งต้องใช้เวลา ฉะนั้น จึงเสนอให้มีข้อยกเว้นไว้ในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญดังเช่นที่ว่าข้างต้น
“แต่ในทางปฏิบัติ ดูเหมือนคณะกรรมการอัยการฯ จะใช้ดุลพินิจตามข้อยกเว้นนี้ ให้ความเห็นชอบให้พนักงานอัยการไปเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง ซึ่งผิดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน และเนื่องจากองค์กรอัยการมีอิสระ จึงไม่มีองค์กรใดสามารถทักท้วงหรือยับยั้งการใช้ดุลพินิจที่ว่านี้ได้ เว้นแต่จะมีผู้เสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่า การใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการอัยการฯ ที่ว่านี้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมายังเคยไม่มีองค์กรใดนำเรื่องนี้เสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด จึงกล่าวได้ว่า การบังคับใช้รัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ยังไม่สมบูรณ์” นายจรัสกล่าว
นอกจากนี้ เครือข่ายข้อมูลการเมืองไทยได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลเว็บไซต์หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ 57 แห่ง โดยพบว่า บุคคลที่ได้รับค่าตอบแทนรวมสูงสุดจากการเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ 1 แห่ง ในปี 2554 คือ นายไกรฤทธิ์ นิลคูหา ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เป็นกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยได้ค่าตอบแทนรวม 2,720,000 บาท รองลงมาคือ นายวัชรกิติ วัชโรทัย และนางเบญจา หลุยเจริญ กรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ค่าตอบแทนรวม 2,700,000 บาท และนายสุรพล นิติไกรพจน์ กรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ค่าตอบแทนรวม 2,680,000 บาท
ทั้งนี้ เครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย ได้เสนอแนะให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลและตรวจสอบกิจการรัฐวิสาหกิจ เช่น สำนักงานนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง, สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน, สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ควรปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย โดยการตรวจสอบและประมวลข้อมูลที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าการใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการอัยการในการใช้ข้อยกเว้นตามมาตรา 255 ชอบด้วยเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่
ข้อเสนอจากเครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย
1. ให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลและตรวจสอบกิจการรัฐวิสาหกิจ เช่น สำนักงานนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง, สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน, สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และ ป.ป.ช. ควรปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย โดยการตรวจสอบและประมวลข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่า การใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการอัยการในการใช้ข้อยกเว้นตามมาตรา 255 ชอบด้วยเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่
2. ในอีกด้านหนึ่ง คณะกรรมการอัยการควรใช้ดุลพินิจในเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพื่อให้องค์กรอัยการดำรงรักษาความเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญฯ ได้อย่างสง่างาม เป็นที่เชื่อถือของประชาชน ต้องไม่ใช้ข้อยกเว้นของรัฐธรรมนูญเป็นช่องทางในการแสวงหาประโยชน์ส่วนตน ควรตรวจสอบตนเองก่อนที่จะให้องค์กรอื่นๆ เข้ามาตรวจสอบ
3. หน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลกิจการรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำนักงานนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง ควรตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับองค์ประกอบของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจต่างๆ ให้เป็นไปตามหลักการธรรมาภิบาลวิสาหกิจ (Corporate Governance) ที่ยึดถือกันเป็นสากล เช่น ไม่ให้พวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ (ปลัดกระทรวง อธิบดี) ข้าราชการบำนาญ และบรรดาพรรคพวกของรัฐมนตรีและนักการเมือง เข้าไปเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจแบบผูกขาด และรับค่าตอบแทนและผลประโยชน์จากรัฐวิสาหกิจปีละหลายล้านบาท โดยอ้างว่าเข้าไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐ แต่ที่จริงแล้วก็ปล่อยให้รัฐวิสาหกิจเอาเปรียบผู้บริโภค คอร์รัปชัน ขาดประสิทธิภาพ อย่างที่เห็นกัน
4. อันที่จริง ถ้าอ้างว่าข้าราชการเหล่านี้เข้าไปเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ เพื่อจะเข้าไปรักษาผลประโยชน์ของรัฐจริงๆ ข้าราชการเหล่านี้ก็ไม่ควรมีสิทธิรับผลประโยชน์ใดๆ จากตำแหน่งหน้าที่กรรมการรัฐวิสาหกิจ ไม่ว่าจะเป็นเบี้ยประชุม โบนัส หรือผลประโยชน์อื่นๆ เพราะบุคคลเหล่านี้ได้รับเงินเดือนจากตำแหน่งราชการอยู่แล้ว การรับผลประโยชน์จากตำแหน่งกรรมการรัฐวิสาหกิจอีกทางหนึ่งจึงน่าจะถือว่าเป็นการรับประโยชน์โดยมิชอบ
5. สำหรับกรรมการที่ไม่ได้เป็นข้าราชการ ก็ควรกำหนดกรอบของการให้ผลประโยชน์ตอบแทนกรรมการรัฐวิสาหกิจให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะพอสม ไม่ควรให้รัฐวิสาหกิจจ่ายเบี้ยประชุม โบนัส ให้กรรมการคนละ 3-5 ล้านบาทต่อปี เพราะไปกำหนดให้จ่ายตามสัดส่วนของผลกำไร ต้องเข้าใจว่ากำไรของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่นั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการทำธุรกิจผูกขาด หรือไม่ก็มาจากการขุดทรัพยากรธรรมชาติของรัฐไปขาย โดยรัฐเก็บค่าภาคหลวงเพียงเล็กน้อย ต้นทุนต่ำ กำไรก็ต้องสูงเป็นธรรมดา เงินและทรัพย์สินที่รัฐวิสาหกิจนำไปเป็นทุนดำเนินการจำนวนมหาศาล ก็เป็นเงินและทรัพย์สินของรัฐทั้งสิ้น ไม่ใช่เป็นเงินทุนของผู้เป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ
กล่าวโดยสรุปแล้ว กำไรที่ได้นั้น ไม่ได้เกิดจากฝีมือของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ และกรรมการฯ ก็ไม่มีสิทธิรับประโยชน์จากกำไรนั้นโดยตรงแต่อย่างใด หลักการจ่ายโบนัสและผลประโยชน์แก่กรรมการรัฐวิสาหกิจตามสัดส่วนกำไรจึงไม่ถูกต้องตั้งแต่ต้น
6. นอกจากนั้น กระบวนการสรรหาและแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ ก็ควรยึดหลักความโปร่งใส เปิดเผยต่อสาธารณชนให้มากที่สุด นอกเหนือไปจากหลักเกณฑ์ในเรื่องความรู้ความสามารถและหลักแห่งการไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานในการสรรหาคณะกรรมการอำนวยการขององค์กรสาธารณะโดยทั่วไป เช่น หน่วยงานที่มีหน้าที่สรรหาฯ ควรประกาศให้สาธารณชนทราบถึงการรับสมัคร การสรรหา และผลการสรรหาคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ ฯลฯ เป็นต้น ไม่ควรใช้วิธีการสรรหากันเองภายในหน่วยงาน และเสนอคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง เป็นอันเสร็จ ดังที่ปฏิบัติกันมา เพราะวิธีนี้เปิดช่องให้มีการแต่งตั้งพวกเดียวกันเอง ทำให้รัฐวิสาหกิจเป็นแหล่งแสวงหาประโยชน์ของข้าราชการกลุ่มเล็กๆ และเป็นเครื่องตอบแทนทางการเมืองของบรรดานักการเมือง อย่างที่เห็นๆ กันอยู่ทุกวันนี้