- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- ย้อนข้อมูล 'บุญส่ง-พวก' ปล่อยเงินกู้สหกรณ์รถไฟ2.2พันล.ซื้อที่ดินตนเอง ยันทำเพื่อส่วนรวม
ย้อนข้อมูล 'บุญส่ง-พวก' ปล่อยเงินกู้สหกรณ์รถไฟ2.2พันล.ซื้อที่ดินตนเอง ยันทำเพื่อส่วนรวม
“...กระผมใช้ที่ดินของตัวผมเอง พัฒนาเพื่อดำเนินการและได้ทยอยจัดหาเพิ่มเติม โดยใช้เงินส่วนที่เหลือจากการที่สหกรณ์พันธมิตรนำมาฝากและสหกรณ์นำไปให้บริการเงินกู้สามัญและกู้ฉุกเฉินเรียบร้อยแล้ว โดยผมจะเป็นผู้กู้และนำเงินไปฝากไว้เพื่อ ลดภาระดอกเบี้ยที่สหกรณ์ต้องแบกรับ ซึ่งผมเป็นผู้แบกรักภาระส่วนต่างของดอกเบี้ยเอง ทั้งนี้ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีของพันธมิตรไว้ เนื่องจากสหกรณ์เคยประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง มีปัญหาในการหาเงินมาบริการให้สมาชิกกู้ยืมไม่ทัน และได้รับความอนุเคราะห์จากสหกรณ์พันธมิตรต่างๆ เหล่านั้นด้วยดีเสมอมา..."
"จากการตรวจสอบพบว่า นายบุญส่ง กับพวกรวม 6 คน ได้นำเงินออกจากสหกรณ์ฯ ในลักษณะการทำสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 199 สัญญา เพื่อนำไปซื้อที่ดินต่อ โดยการกู้ทั้งหมดของสหกรณ์ ผู้กู้เป็นบุคคลทั้งหมด ไม่มีนิติบุคคลภายนอก"
คือ ข้อมูลยืนยันจาก นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เกี่ยวกับผลการตรวจสอบกรณีกลุ่มอดีตผู้บริหารสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ จำกัด ประกอบไปด้วย นายบุญส่ง หงษ์ทอง นายนรินทร์ โพธิ์ศรี นายวีระชัย ศรีสวัสดิ์ นายบัญชา ช่วยประสิทธิ์ นายประพันธ์ อำพันสาย และนายปรีชา ธนะไพรินทร์ ได้ปล่อยเงินกู้ 199 สัญญา วงเงิน 2,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกระทำผิดระเบียบสหกรณ์ที่กำหนดให้กู้รายละไม่เกิน 15 ล้านบาท โดยปัจจุบันกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้มีการแต่งตั้งข้าราชการเข้ามาทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการบริหารสหกรณ์ชั่วคราวเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั้งการจัดทำแผนแก้ไขปัญหาการขาดสภาพคล่องและการส่งชำระหนี้ของสอ.สรฟ.เสนอให้สหกรณ์เจ้าหนี้พิจารณา และการดำเนินคดีอาญาและแพ่งกับอดีตผู้บริหารสหกรณ์ (อ่านประกอบ : ตามรอยปฎิบัติการสางปัญหาทุจริตสหกรณ์รถไฟ2.2 พันล.-บิ๊กขรก.เอี่ยวจริงหรือ?)
ทั้งนี้ ในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการนำเงินกู้ยืมจำนวน 2.2 พันล้าน ไปซื้อที่ดิน ของ นายบุญส่ง และพวก เคยปรากฎข้อมูลเป็นข่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว
กล่าวคือ ในช่วงเดือน พ.ย.2560 สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า สหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ โดย นายประเสริฐ ศรีสะอาด ประธานสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ ได้ออกประกาศแจ้งให้สมาชิกทราบว่า กำลังอยู่ในขั้นตอนเตรียมดำเนินคดีกับผู้ก่อตั้งและสมาชิกจำนวน 6 คนกรณีกู้เงินสหกรณ์โดยผิดระเบียบ
เนื้อหาระบุว่า “ตามที่ผู้จัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ จำกัด มีนโยบายในการจัดหาที่ดินมาเป็นหลักประกันให้กับสหกรณ์ฯและคณะกรรมการฯ รวมทั้งเพื่อเป็นสวัสดิการให้กับสมาชิก และได้ร่วมกับสมาชิกอีก 5 คน กู้เงินจากสหกรณ์ฯเพื่อนำเงินไปดำเนินการโครงการดังกล่าว ต่อมากรมส่งเสริมสหกรณ์แจ้งว่าการกู้เงินเพื่อไปพัฒนาที่ดินเป็นการขัดต่อวัตถุประสงค์และผิดระเบียบฯ จึงให้คณะกรรมการฯเรียกเงินที่กู้ไปเกินกว่าระเบียบจากสมาชิกทั้ง 6 คน คืนสหกรณ์ฯ
ขณะนี้ คณะกรรมการชุดที่ 12 ได้จัดทำหนังสือเรียกเงินคืนจากสมาชิกทั้ง 6 คนแล้ว และอยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบเอกสารเพื่อยื่นฟ้องร้องดำเนินคดี จึงขอให้สมาชิกทุกท่านโปรดไว้วางใจในการดำเนินการของคณะกรรมการฯเพื่อติดตามนำเงินกลับมาคืนสหกรณ์ฯ โดยเร็วและหากมีความคืบหน้าในการดำเนินคดี จะแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป”
ประกาศ ณ วันที่ 30 ต.ค.2560 ลงชื่อ นายประเสริฐ ศรีสะอาด ประธานกรรมการ สหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ
ต่อมา สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบรายงานการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2559 วันที่ 16 ก.ย.2559 ซึ่งปรากฎในรายงานการประชุมใหญ่ สามัญประจำปี 2560 เมื่อวันที่ 20 ต.ค.2560 พบว่า นายบุญส่ง หงษ์ทอง ประธานที่ปรึกษา ผู้เริ่มก่อตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ อดีตประธานกรรมการ ยอมรับในที่ประชุมว่า เป็นผู้จัดหาที่ดิน โดยใช้เงินของสหกรณ์ที่สมาชิกนำมาฝากไปซื้อที่ดินของตนเอง เพื่อดำเนินโครงการที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก และยืนยันว่าทำเพื่อส่วนรวม
นายบญส่งกล่าวว่า ในการดำเนินการจัดซื้อที่ดินและพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่านั้น เป็นผู้ขึ้นเงินกู้ให้กับสหกรณ์แล้ว ได้ขอให้ผู้บริหารที่นายบุญส่งได้กำหนดไว้ขึ้นเงินกู้เพื่อดำเนินการด้วย โดยเมื่อขึ้นเงินแล้วให้นำฝากเข้าไว้ในบัญชีของตนเองเพื่อความคล่องตัวและสะดวกต่อการดำเนินการ โดยตนเองขอรับเป็นผู้นำเงินกู้ทั้งหมดมาดำเนินการและขอรับผิดชอบต่อหนี้เงินกู้ทั้งหมดที่ผู้บริหารได้กู้และขึ้นเงินไว้ และจะเป็นผู้ชดใช้คืนให้แก่สหกรณ์ทั้งหมดเมื่อดำเนินโครงการเสร็จสิ้น
มีรายละเอียดดังนี้
“กระผมใช้ที่ดินของตัวผมเอง พัฒนาเพื่อดำเนินการและได้ทยอยจัดหาเพิ่มเติม โดยใช้เงินส่วนที่เหลือจากการที่สหกรณ์พันธมิตรนำมาฝากและสหกรณ์นำไปให้บริการเงินกู้สามัญและกู้ฉุกเฉินเรียบร้อยแล้ว โดยผมจะเป็นผู้กู้และนำเงินไปฝากไว้เพื่อ ลดภาระดอกเบี้ยที่สหกรณ์ต้องแบกรับ ซึ่งผมเป็นผู้แบกรักภาระส่วนต่างของดอกเบี้ยเอง ทั้งนี้ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีของพันธมิตรไว้ เนื่องจากสหกรณ์เคยประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง มีปัญหาในการหาเงินมาบริการให้สมาชิกกู้ยืมไม่ทัน และได้รับความอนุเคราะห์จากสหกรณ์พันธมิตรต่างๆ เหล่านั้นด้วยดีเสมอมา
แต่ในการดำเนินการดังกล่าวของผมได้รับการท้วงติงจากส่วนราชการที่ควบคุมกำกับดูแลว่าเป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้อง และใช้เงินจำนวนมากไม่เป็นไปตามข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ ของสหกรณ์ อาจส่งผลกระทบต่อสมาชิกและสหกรณ์ ซึ่งจะทำให้สมาชิกและสหกรณ์ได้รับความเสียหายในอนาคต ผมขอเรียนยืนยันเจตนารมณ์ว่าได้ดำเนินการไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ สามารถตรวจสอบได้ที่ดินที่ได้จัดซื้อจัดหาทั้งส่วนตัวและซื้อเพิ่มเติม ผมได้ดำเนินการพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่า และขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อจัดสรรให้แก่สมาชิกได้ใช้สิทธิ์ซื้อเพื่อปลูกบ้านพักอาศัย หากความปรารถนาดีและดำเนินการอย่างบริสุทธิ์ใจของผมเป็นการดำเนินการที่ผิดตามที่กรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจสอบบัญชีสหกรณ์กล่าวหา ผมยินดีแก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้องและยินดีรับผิดชอบตามกฎหมายทุกประการแต่เพียงผู้เดียว แต่ผมขอทราบความเห็นของสมาชิกในที่ประชุมทั้งหมดวันนี้ว่าการดำเนินการของผมในครั้งนี้ สมาชิกเห็นด้วยและพร้อมจะเข้าโครงการของผมหรือไม่
คุณปทุมวดี มนต์คงธรรม (ผู้แทนกรมตรวจบัญชีสหกรณ์) ได้ให้ความเห็นว่า ปัจจุบันสหกรณ์ออมทรัพย์หลายแห่ง ดำเนินการธุรกรรมบางอย่างที่นอกเหนือจากอำนาจที่สามารถดำเนินการได้ตามกฎหมาย ทำให้เกิดความเสียหายต่อสหกรณ์เองรวมทั้งสมาชิก กรมตรวจบัญชีสหกรณ์จึงมีความเป็นห่วง ดังนั้น การที่สหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟฯ จะดำเนินโครงการจัดบ้านพักอาศัยให้แก่สมาชิก แม้จะเป็นเจตนาที่ดี แต่ควรหารือนายทะเบียนเพื่อความชัดเจนว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่อย่างใดเสียก่อน
ประธานที่ปรึกษา กล่าวชี้แจงเพิ่มเติมว่า การดำเนินการดังกล่าวของผม ก็เพื่อความมั่นคงของสหกรณ์ฯ เพื่อความคล่องตัวในการบริหารด้านการเงินแก่สมาชิก ซึ่งที่ผ่านมาในบางกรณีถูกควบคุมจนไม่สามารถกระทำได้ แต่ในขณะเดียวกัน ในกรณีเดียวกันนี้มีบางสหกรณ์ฯ กลับสามารถกระทำได้ โดยอ้างว่าได้รับอนุญาตให้กระทำได้ จึงทำให้เกิดความสับสนและเห็นว่าอาจเป็นการใช้กฎเกณฑ์ ระเบียบ ที่ไม่เสมอภาคกัน สิ่งที่ผมได้ดำเนินการลงไปแล้วสามารถตรวจสอบทรัพย์สินได้ตลอดเวลา มูลค่าที่ดินที่ผมได้พัฒนาแล้วนั้นมีมูลค่าสูงกว่าจำนวนหนี้สินที่ผมกู้จากสหกรณ์ และผมมีเจตนาจะยกให้สหกรณ์ทั้งหมด เพื่อให้สหกรณ์มีทรัพย์สินที่สามารถใช้ค้ำประกัน สำหรับในการดำเนินการจัดซื้อที่ดินและพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่านั้น นอกจากผมจะเป็นผู้ขึ้นเงินกู้ให้กับสหกรณ์แล้ว ผมได้ขอให้ผู้บริหารที่ผมได้กำหนดไว้ขึ้นเงินกู้เพื่อดำเนินการด้วย โดยเมื่อขึ้นเงินแล้วให้นำฝากเข้าไว้ในบัญชีของผมเพื่อความคล่องตัวและสะดวกต่อการดำเนินการ โดยผมขอรับเป็นผู้นำเงินกู้ทั้งหมดมาดำเนินการและขอรับผิดชอบต่อหนี้เงินกู้ทั้งหมดที่ผู้บริหารได้กู้และขึ้นเงินไว้ ผมจะเป็นผู้ชดใช้คืนให้แก่สหกรณ์ทั้งหมดเมื่อดำเนินโครงการเสร็จสิ้น ซึ่งได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว ขอให้สมาชิกเตรียมพร้อมด้านเอกสารเพื่อยื่นคำขอซื้อที่ดินหรือคอนโดมิเนียมเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยต่อไป”
สำนักข่าวอิศรา ยังตรวจสอบพบว่า สำหรับกรณีเงินกู้สหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ ข้อมูลตามที่ปรากฎในรายงานของผู้สอบบัญชีระบว่า สหกรณ์ฯได้จ่ายเงินกู้พิเศษเพื่อเคหะสงเคราะห์ให้กับคณะกรรมการของสหกรณ์จำนวน 6 คน ตั้งแต่ปี 2556-เดือน ก.ย.2560 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อซื้อที่ดิน พัฒนาที่ดินและสร้างอาคาร ณ วันที่ 30 ก.ย.2559 มียอดคงเหลือ จำนวน 199 สัญญา เป็นเงิน 2,279,145,600.22 บาท (ณ วันที่ 30 มิ.ย.2560 ยอดลงเหลือ จำนวน 43 สัญญา เป็นเงิน 2,264,295,132.17 บาท) การปฏิบัติดังกล่าวไม่เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการให้เงินกู้พิเศษ พ.ศ.2554 ข้อ 13 ที่กำหนดให้สมาชิกกู้เพื่อเคหะสงเคราะห์รายละไม่เกิน 15 ล้านบาท และการจัดทำเงินกู้ดังกล่าวมีการทำสัญญาเงินกู้และหลักประกันไม่ครบถ้วน
ณ วันนี้ ข้อมูลการทำสัญญาปล่อยเงินกู้ 199 สัญญา วงเงิน 2,200 ล้านบาท อยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และกรมส่งเสริมสหกรณ์ ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงเป็นทางการแล้ว
โดยล่าสุด ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ออกหมายเรียก นายบุญส่ง หงส์ทอง และพวก 5 ราย ประกอบไปด้วย นายนรินทร์ โพธิ์ศรี นายวีระชัย ศรีสวัสดิ์ นายบัญชา ช่วยประสิทธิ์ นายประพันธ์ อำพันสาย และนายปรีชา ธนะไพรินทร์ มาพบเพื่อสอบปากคำแล้ว แต่นายบุญส่ง และพวก ได้ส่งทนายมาพบเพื่อเจรจาขอเลื่อนเวลาออกไป โดยให้เหตุผลว่า ขอเวลาในการกำลังรวบรวมข้อมูลเอกสารเพื่อสู้ทางคดี โดยจะยื่นเอกสารพร้อมให้ปากคำอีกครั้งประมาณช่วงต้นเดือน ก.ย. 2561 นี้ (อ่านประกอบ : เอาเงินกู้สหกรณ์รถไฟ2.2พันล.ไปซื้อที่ดิน! บุญส่ง-พวก ขอเลื่อนพบตร.สู้คดีต้นก.ย.นี้)
ส่วนผลการสอบสวนหลังจากนี้ จะออกมาเป็นอย่างไรนั้น คงต้องจับตาดูกันต่อไป