- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- กรณีศึกษา อ้าง‘หลงลืม’ฟังไม่ขึ้น! ศาลฎีกาฯฟัน นายก อบต. ซุกโฉนดที่ดินเมีย 3 แปลง
กรณีศึกษา อ้าง‘หลงลืม’ฟังไม่ขึ้น! ศาลฎีกาฯฟัน นายก อบต. ซุกโฉนดที่ดินเมีย 3 แปลง
กรณีศึกษาคดีบัญชีทรัพย์สิน นายก อบต. ใน จ.พิจิตร ไม่ยื่นโฉนดที่ดินเมีย 3 แปลง ป.ป.ช. อ้างแอบซื้อ ‘หลงลืม’ ศาลฎีกาฯวินิจฉัยเหตุผลส่วนตัว ฟังไม่ขึ้น พิพากษาให้พ้นตำแหน่งทันที ปรับ 4,000 บาท จำคุก 1 เดือน รอการลงโทษ 1 ปี
เหตุผลการไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่อ้างกันเสมอคือ ‘หลงลืม’ นายธวัชชัย ฉัตรชัยเดช นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)บึงนาราง อ.บึงนาราง จ.พิจิตร ไม่ยื่นโฉนดที่ดิน 3 แปลงของ คู่สมรส โดยอ้างว่า หนึ่งแปลงเมียแอบซื้อโดยไม่แจ้งให้ทราบ หนึ่งแปลงจำนองธนาคาร และอีกหนึ่งแปลงเมียเป็นคนเก็บรักษา ทำให้หลงลืมแจ้ง ศาลเห็นว่าเป็นเหตุผลส่วนตัวพิพากษาให้มีความผิด ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี พ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ทันที ปรับเงิน 4,000 บาท จำคุก 1 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 1 ปี รายละเอียดดังนี้
นายธวัชชัย ฉัตรชัยเดช นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)บึงนาราง อ.บึงนาราง จ.พิจิตร จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินพร้อมเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สิน หรือหนี้สินนั้น กรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปีในการดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหาร ส่วนตำบลบึงนาราง อำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร ครั้งที่ 1
@ไม่ยื่นโฉนดที่ดินเมีย 3 ฉบับ
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้รับเลือกตั้ง ให้ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบึงนาราง ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2550 และพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 29 ก.ย.2554 ต่อมาได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบึงนาราง ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2554 และดำรงตำแหน่งอยู่จนถึงปัจจุบันตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 1/2557 ลงวันที่ 25 ธ.ค. 2557
ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินต่อผู้ร้องกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปีเมื่อวันที่ 12 ต.ค.25555 แต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่แสดงรายการที่ดิน ของนางทิพเนตร ฉัตรชัยเดช ซึ่งเป็นคู่สมรส จำนวน 3 รายการ ได้แก่ ที่ดินโฉนดเลขที่ 441, 467 และ 3230 ตำบลบึงนาราง อำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร
@อ้างหลงลืม
ผู้ร้องมีหนังสือแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงข้อเท็จจริงและเหตุผลของการไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบกรณีดังกล่าวต่อผู้ร้องแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงว่าหลงลืม
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน พร้อมเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบึงนาราง ครั้งที่ 1 หรือไม่
เห็นว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 บัญญัติว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หมายความว่า ... (7) ผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น และผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และผู้ร้องออกประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ข้อ 4 (7) (ก) กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน
และหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้อง ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค.2554 ขณะผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบึงนาราง ครั้งที่ 1 แม้ต่อมาผู้ร้อง ออกประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2560
แต่ประกาศดังกล่าว ยังคงกำหนดให้นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ถูกกล่าวหา จึงเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อผู้ร้อง ภายในสามสิบวันนับแต่วันเข้ารับตำแหน่ง วันพ้นจากตำแหน่ง และวันที่พ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 32 และมาตรา 33 ในการดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบึงนาราง ครั้งที่ 1 ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี โดยไม่แสดงรายการที่ดินของนางทิพเนตร ฉัตรชัยเดช ซึ่งเป็นคู่สมรส จำนวน 3 รายการ ได้แก่
1. ที่ดินโฉนดเลขที่ 441 ตำบลบึงนาราง อำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร 2. ที่ดินโฉนดเลขที่ 467 ตำบลบึงนาราง อำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร และ 3. ที่ดินโฉนดเลขที่ 3230 ตำบลบึงนาราง อำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร
ผู้ร้องมีหนังสือแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงข้อเท็จจริง ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 441 นางทิพเนตร ซื้อมาโดยไม่แจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 467 ผู้ถูกกล่าวหานำไปจำนองเป็นประกันการกู้ยืม ต้นฉบับโฉนดที่ดินอยู่ที่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และที่ดินโฉนดเลขที่ 3230 นางทิพเนตร เป็นผู้เก็บรักษา ผู้ถูกกล่าวหาจึงหลงลืมไม่ได้แสดงทรัพย์สินทั้ง 3 รายการดังกล่าวในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน เห็นได้ว่า ข้ออ้างของผู้ถูกกล่าวหาล้วนเป็นเหตุส่วนตัวที่ทำให้เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ใส่ใจต่อการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งผู้ถูกกล่าวหาแสดงรายการทรัพย์สินของ นางทิพเนตร หลายรายการ แต่กลับปกปิดรายการทรัพย์สินบางส่วนไว้
จึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น ซึ่งการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สินเป็นหน้าที่สำคัญของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ต้องปฏิบัติ และเป็นมาตรการในการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อให้เกิดการตรวจสอบผู้ใช้อำนาจรัฐ จึงฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินพร้อมเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความ อันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบึงนาราง ครั้งที่ 1
มีผลห้ามมิให้ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดํารงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปีนับแต่ วันที่พ้นจากตําแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบึงนาราง ครั้ง ที่ 1 เมื่อผู้ถูกกล่าวหาได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายก องค์การบริหารส่วนตำบลบึงนาราง ครั้งที่ 2 ในระหว่างเวลาต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และยังคงดำรงตำแหน่งถึงปัจจุบัน จึงต้องพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ในวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 34 วรรคสอง นอกจากนี้ การกระทำของผู้ถูกกล่าวหายังเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้ง ให้ทราบ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 ด้วย
@ ให้พ้นตำแหน่งทันที
- พิพากษาว่า นายธวัชชัย ฉัตรชัยเดช ผู้ถูกกล่าวหา จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริง ที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่งนายกองค์การ บริหารส่วนตำบลบึงนาราง อำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร ครั้งที่ 1 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 32 และมาตรา 33 ห้ามมิให้ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปี นับแต่วันที่ 29 กันยายน 2554 ซึ่งเป็นวันที่ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่งนายกองค์การบริหาร ส่วนตำบลบึงนาราง ครั้งที่ 1 ให้ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบึงนาราง ครั้งที่ 2 ที่ดำรงอยู่ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองวินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 34 วรรคสอง กับมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 จำคุก 2 เดือน และปรับ 8,000 บาท ผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน และปรับ 4,000 บาท ไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี
(คดีหมายเลขแดงที่ อม.28/2561-13 ก.พ.2561)
เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจคดีหนึ่ง