- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- เปิดคำพิพากษาศาลฎีกา! โฉนด บ.สยามเจ้าพระยาฯ รุกหาดภูเก็ต - อดีต รมต. กก.
เปิดคำพิพากษาศาลฎีกา! โฉนด บ.สยามเจ้าพระยาฯ รุกหาดภูเก็ต - อดีต รมต. กก.
เปิดคำพิพากษาศาลฎีกา คดี บ.สยามเจ้าพระยาแลนด์ 1 ใน 15 ราย รุกหาดเลพัง จ.ภูเก็ต หลังฟ้องผู้ว่าฯ ปมประกาศเป็นที่ดินสาธารณะ 178 ไร่ หลักฐานชัดชายหาด ไม่มีร่องรอยทำ ปย. ยึดคืน 12 ไร่ มูลค่า 800 ล.ใน 30 วัน ล่าสุดพบชื่ออดีต รมต. เป็นกรรมการ
คดีบุกรุกชายหาดเลพัง-ลายัน หมู่ที่ 4 ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เนื้อที่ 178 ไร่ ซึ่งเอกชนและหน่วยงานรัฐ เป็นผูุ้ครอบครองรวม 15 แปลง (ราย) โดยมิชอบ จะต้องย้ายออกจากพื้นที่พิพาทภายใน 30 วัน มีชื่อ บริษัท สยามเจ้าพระยาแลนด์ จำกัด รวมอยู่ด้วย
ทั้งนี้ บริษัท สยามเจ้าพระยาแลนด์ จำกัด เป็นเจ้าของ โฉนดเลขที่ 11837 เลขที่ดิน 29 เนื้อที่ 16-1-80 ไร่ ยื่นฟ้อง จังหวัดภูเก็ต ที่ 1 ,ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ที่ 2 ,นายอำเภอถลาง ที่ 3 เป็นจำเลย ที่ประกาศให้ที่ดินของโจทก์ เป็นที่ดินสาธารณะ สู้กันมาตั้งแต่ศาลชั้นตั้น ศาลอุทธรณ์ กระทั่งศาลฎีกา พิพากษาว่า ที่ดินเนื้อที่ 12 ไร่ 3 งาน 66 ตารางวา เป็นที่สาธารณประโยชน์ และต้องออกจากพื้นที่ดังกล่าว (คำพิพากษาฎีกา เลขที่ 6251/2558 ลงวันที่ 12 มิ.ย.2558 ความแพ่ง)
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เรียบเรียงสาระสำคัญในคำพิพากษาศาลฎีกามาเสนอ
โจทก์ บริษัท สยามเจ้าพระยาแลนด์ จำกัด
จำเลย จังหวัดภูเก็ต ที่ 1 ,ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ที่ 2 ,นายอำเภอถลาง ที่ 3
คำฟ้องของโจทก์สรุปว่า
โจทก์เป็นเจ้าของโฉนดที่ดินเลขที่ 11837 ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เนื้อที่ 71 ไร่ 73 ตารางวา ที่ดินแปลงดังกล่าวเดิมเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 545/476 ต.เชิงทะเล เนื้อที่ 58 ไร่ 87 ตารางวา ของนายสมศักดิ์ คู่พงศกร วันที่ 18 ม.ค. 2533 นายสมศักดิ์ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์นำที่ดินแปลงดังกล่าวไปขอออกหนังสือรับรอการทำประโยชน์ (น.ส.3) ทางราชการออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้เป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 1576 ต.เชิงทะเล อ.ถลาง เนื้อที่ 71 ไร่ 53 ตารางวา ต่อมาโจทก์นำที่ดินแปลงดังกล่าวไปขอออกโฉนดที่ดิน ทางราชการออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 11837 ต.เชิงทะเล อ.ถลาง เนื้อที่ 71 ไร่ 63 ตารางวา โดยออกให้เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2542
วันที่ 14 มิ.ย. 2548 โจทก์รังวัดขอแบ่งแยกที่ดินในนามเดิมออกเป็น 2 แปลง คือ โฉนดที่ดินเลขที่ 11837 ซึ่งเป็นที่ดินแปลงเดิมเหลือเนื้อที่ 16 ไร่ 1 งาน 80 ตารางวา ส่วนที่ดินแปลงใหม่เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 31311 เนื้อที่ 54 ไร่ 2 งาน 83 ตารางวา โดยที่ดินโฉนดเลขที่ 11837 ผ่านขั้นตอนการออกเอกสารสิทธิในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) และเป็นที่ดินมีโฉนดที่ดิน ตามลำดับถูกต้องตามประมวลกฎหมายที่ดินมิได้มีความคลาดเคลื่อนและรุกล้ำทางหรือที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินแต่อย่างใด
ต่อมาจำเลยที่ 3 ออกประกาศอำเภอถลาง ลงวันที่ 16 มิ.ย. 2546 เรื่อง ที่ดินสงวนหรือหวงห้ามเพื่อประโยชน์ร่วมกัน โจทก์ทำหนังสือคัดค้านถึงจำเลยที่ 3 ต่อมาจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 มีหนังสือที่ ภก.0019.1/18637 ลงวันที่ 7 ธ.ค. 2547 เรื่อง การสงวนที่ดินเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน แจ้งโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 พิจารณาผลการตรวจสอบพื้นที่จากภาพถ่ายอากาศที่ถ่ายไว้ เมื่อปี 2510 และปี 2520 ของอำเภอถลางแล้ว ไม่ปรากฏร่องรอยการทำประโยชน์ในที่ดินแต่อย่างใด ประกอบกับอำเภอถลางตรวจสอบแล้วพบว่าที่ดินที่ขอสงวนเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า มีสภาพเป็นที่ราบชายทะเลและพื้นทราย ที่ดินโฉนดเลขที่ 11837 จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน อำเภอถลางมีสิทธิที่จะนำที่ดินแปลงดังกล่าวมาดำเนินการสงวนเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันเฉพาะส่วนที่เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าต่อไป
ประกาศของจำเลยที่ 3 และหนังสือของจำเลยที่ 2 เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์
ขอให้พิพากษาว่า
1.ที่ดินโฉนดเลขที่ 11837 และ 31311 ต.เชิงทะเล อ.ถลาง เป็นของโจทก์ มิได้เป็นที่ดินรกร่างว่างเปล่าหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์แต่อย่างใด
2.ให้เพิกถอนประกาศลงวันที่ 16 มิถุนายน 2546 ของจำเลยที่ 3 และหนังสือที่ ภก.0019.1/18637 ลงวันที่ 7 ธ.ค. 2547 ของจำเลยที่ 2 กับมีคำสั่งห้ามจำเลยทั้งสามกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 11837 และ 31311 ของโจทก์
คำให้การของจำเลยและฟ้องแย้ง สรุปว่า
1.โจทก์ ได้ที่กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 11837 มาจากการออกเอกสารสิทธิในที่ดินผิดพลาดคลาดเคลื่อน เพราะที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าวเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าที่รัฐสงวนหวงห้ามเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันมาก่อน
2.เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 11837 เป็นที่ดินแปลงใหญ่ เนื้อที่ 77 ไร่ 2 งานของนายสมศักดิ์ ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 476 ต่อมานายสมศักดิ์แบ่งแยกที่ดินออกเป็น 2แปลง คือ น.ส.3 เลขที่ 476 ซึ่งเป็นที่ดินแปลงเดิมเนื้อที่ 19 ไร่ 1 งาน 13 ตารางวา ส่วนที่ดินแปลงใหม่ น.ส.3 เลขที่ 545/476 เนื้อที่ 58 ไร่ 87 ตารางวา ต่อมานายสมศักดิ์ขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 545/476 ให้แก่โจทก์ และโจทก์นำที่ดินแปลงดังกล่าวไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1576 เนื้อที่ 71 ไร่ 53 ตารางวา ซึ่งมีเนื้อที่เพิ่มจากเดิมทางทิศตะวันตกที่จดชายทะเลด้านเดียว เนื้อที่ 12 ไร่ 3งาน 66 ตารางวา ซึ่งแต่เดิมเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าที่รัฐสงวนหรือหวงห้ามเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน แม้ต่อมาโจทก์จะนำที่ดินแปลงดังกล่าวไปขอออกโฉนดที่ดินออกเป็น 2 แปลง คือ ที่ดนโฉนดเลขที่ 11837 และ 31311 ก็เป็นการแบ่งแยกหลังจากที่จำเลยทั้งสามออกประกาศแจ้งว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 11837 ของโจทก์เป็นที่ดินที่รัฐสงวนหรือหวงห้ามเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันแล้ว
3.ขอให้ยกฟ้องและขอให้บังคับโจทก์กับบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายสิ่งของออกไปจากที่ดินพิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้ที่ดินโฉนดเลขที่ 11837 มาและขอให้เจ้าหน้าที่ออกเอกสารสิทธิในที่ดินโดยสุจริตเพราะได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายว่าด้วยการออกเอกสารสิทธิในที่ดินโดยถูกต้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้โจทก์และบริวารออกไปจากที่ดินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายสิ่งของออกไปจากโฉนดที่ดินเลขที่ 11837 ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เฉพาะในส่วนที่มีเนื้อที่เพิ่มขึ้น 12 ไร่ 3 งาน 66 ตารางวา
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ว่า โฉนดที่ดินเลขที่ 11837 และ 31311 ต.เชิงทะเล อ.ถลาง เป็นของโจทก์ และให้เพิกถอนประกาศลงวันที่ 16 มิ.ย.2546 ของจำเลยที่ 3 และหนังสือที่ ภก.0019.1/18637 ลงวันที่ 7 ธ.ค. 2547 ของจำเลยที่ 2 (ประกาศให้ที่ดินเป็นที่สาธารณะ)
คำวินิจฉัยในชั้นศาลฎีกา
ข้อเท็จจริง
นายสมศักดิ์ คู่พงศกร เป็นเจ้าของที่ดิน น.ส.3 เนื้อที่ 58 ไร่ 87 ตารางวา
18 ม.ค.2533 นายสมศักดิ์ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่ โจทก์ (บริษัท สยามเจ้าพระยาแลนด์ จำกัด)
4 ก.ค.2533 โจทก์นำที่ดิน น.ส.3 แปลงดังกล่าว ขอยื่นรังวัดออก หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1576 โดยมีรูปที่ดินแตกต่างไปจากเดิม และมีเนื้อที่ดินเพิ่มขึ้นเป็น 71 ไร่ 53 ตารางวา
ต่อมา โจทก์นำที่ดิน น.ส.3 ก.แปลงดังกล่าวไปออกโฉนด เลขที่ 11837 เนื้อที่ 71 ไร่ 63 ตารางวา
จากนั้นโจทก์แบ่งแยกโฉนดออกเป็น 2 แปลง แปลงใหม่เลขที่ เป็นเลขที่ 31311 มีรูปที่ดินใกล้เคียงกับ น.ส.3 กับ โฉนดเลขที่ 11837 เนื้อที่ 16ไร่1 งาน 80 ตารางวา
16 มิ.ย.2546 อำเภอถลางประกาศที่ดินที่จะสงวนหวงห้ามเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ยาว 2,510 เมตร กว้าง 111 -113 เมตร รวมเนื้อที่ 178 ไร่ ซึ่งรวมที่ดินที่อยู่ในโฉนดเลขที่ 11837 เนื้อที่ 12 ไร่ 3 งาน 66 ตารางวา (จากจำนวนเต็ม เนื้อที่ 16ไร่1 งาน 80 ตารางวา ) ด้วย
โจทก์คัดค้าน และยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง ปรากฎว่าวันที่ 18 เม.ย.2548 ศาลปครองกลางไม่รับคำฟ้อง โจทก์จึงนำเรื่องมาฟ้องต่อศาล และจำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งให้ขับไล่โจทก์
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามในข้อแรกว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของโจทก์หรือไม่ โดยจำเลยทั้งสามอ้างว่า ที่ดินพิพาทยังไม่มีการครอบครองทำประโยชน์ ไม่อยู่ในประเภทที่ดินที่จะออกเอกสารสิทธิได้ และเป็นที่ดินรกร้างว่งเปล่า อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ส่วนโจทก์อ้างว่าเป็นที่ดินที่มีการครอบครองและดำเนินการ ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และ ออกโฉนดโดยชอบ
คำพิพากษา
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ที่ดินพิพาทมีสภาพเป็นทางเกวียนมาแต่เดิมจนผ่านที่ดินของโจทก์เป็นที่ราบชายทะเลที่ไม่ได้ทำประโยชน์ จึงเป็นที่รกร้างว่างเปล่า ต่อมาเป็นที่ให้เอกชนได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่ หลังจากนั้นก็ไม่มีการทำประโยชน์ในที่ดิน ซึ่งสอดคล้องกับภาพถ่าย ที่ดินพิพาทเป็นที่รกร้าง มีสภาพเป็นทางสัญจร หากตัดที่ดินพิพาทออก ที่ดินของโจทก์จะมีรูปที่ดินเหมือนเดิมและมีเนื้อที่เท่าเดิม
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่รกร้างว่งเปล่า อยู่นอกบริเวณที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) แม้เดิมที่ราบชายทะเลบริเวณที่พิพาท จะมีความกว้างเพียง 40 เมตร แต่ขณะเกิดเหตุที่ราบมีความกว้างถึง 111 ถึง 113 เมตร อันเป็นที่งอกที่เกิดขึ้น โจทก์ก็หาได้มีสิทธิในที่งอกดังกล่าวไม่ เพราะเป็นที่งอกจากที่ดินรกร้างว่างเปล่า หาใช่งอกจากที่ดินของโจทก์ไม่ ดังนั้น ที่ดินพิพาทจึงเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(1) ทำให้ที่ดินพิพาทจะโอนแก่กันมิได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา ตามมาตรา 1305 และห้ามยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดิน ตามมาตรา 1306 ซึ่งเป็นทรัพย์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เป็นทรัพย์ที่มีเพื่อสาธารณประโยชน์หรือสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน จึงต้องตีความโดยเคร่งครัด นายสมศักดิ์แม้จะขึ้นป้ายหวงห้ามที่ดินพิพาทอ้างว่าเป็นที่ดินส่วนบุคคลก็หาทำให้ที่ดินพิพาทเป็นของนายสมศักดิ์ไม่ ต้องห้ามตามมาตรา 1306 และนายสมศักดิ์ก็ไม่อาจขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ได้ เพราะการจะโอนที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินต้องทำเป็นกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา ตามมาตรา 1305 โจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิใดๆในที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่อาจดำเนินการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก)หรือขอออกโฉนดได้
ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 รับฟังเอกสารท้ายอุทธรณ์ของโจทก์ว่า อธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเพิกถอนโฉนดของโจทก์ ก็ปรากฎว่า ฝ่ายจำเลยได้อุทธรณ์ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ดังนั้น จึงไม่อาจรับฟังได้เป็นยุติว่าอธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเพิกถอนโฉนดของโจทก์แล้ว
เมื่อฟังได้ว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท จึงไม่อาจครอบครองที่ดินพิพาทได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทจึงชอบแล้ว เมื่อฟังว่าโจทก์ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นๆ ของจำเลยทั้งสามอีก เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษากลับให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คำพิพากษาดังกล่าวเป็นที่มาของการบังคับใช้กฎหมายให้เอกชนออกจากพื้นที่สาธารณะ
สำนักข่าวอิศราตรวจสอบพบว่า บริษัท สยามเจ้าพระยาแลนด์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 23 มิ.ย. 2532 ทุน 3,906,300 บาท ซื้อจัดหา รับเช่า ถือกรรมสิทธิ์ ครอบครองปรับปรุง ใช้และจัดการโดยประการอื่นๆ ซึ่งทรัพย์สินใดๆ ที่ตั้งเลขที่ 333/1 ถนนเจริญนคร แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร ณ วันที่ 17 มี.ค. 2560 บริษัท ทาวน์แอนด์คันทรี่สปอร์ตคลับ จำกัด ถือหุ้นใหญ่ และมี บริษัทจดทะเบียน เกาะบริติชเวอร์จิ้น ร่วมถือหุ้นส่วนน้อย กรรมการ 8 คน มีชื่ออดีตรัฐมนตรีคนหนึ่งช่วงปี 2551 และเคยเป็นเลขาธิการพรรค ร่วมเป็นกรรมการ และเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
สำหรับที่ดิน 12 ไร่ ราคาซื้อขายไร่ละประมาณ 70 ล้านบาท มูลค่ารวมประมาณ 840 ล้านบาท
อ่านประกอบ:
เมินคำพิพากษาศาลฎีกา! มือมืดขึ้นป้ายต้าน ยันมีกรรมสิทธิ์ที่ดิน หาดเลพัง จ.ภูเก็ต
ดูชัดๆภาพถ่าย-รายชื่อเจ้าของที่ดิน 15 แปลงริมหาดเลพัง จ.ภูเก็ต 200 ไร่ 1.4 หมื่นล.
ดีเอสไอปิดหมายยึดที่ดินริมหาด จ.ภูเก็ต 1.2 หมื่นล. จากเศรษฐี 6 ราย ให้พ้นใน 30 วัน
เปิดตัว-คำให้การชัดๆ พยานปากเอก อยู่เบื้องหลังคดีที่ดินริมหาด จ.ภูเก็ต 1.2 หมื่น ล.
ฉบับเต็ม!คำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่ดินริมหาด จ.ภูเก็ต 1.2 หมื่นล.-พ.อ.พยานเอกชน
อีกแปลงที่ดินสาธารณะ!ศาลให้เอกชนแพ้คดี -ดีเอสไอขยับยึด 178 ไร่ริมหาด จ.ภูเก็ต
ศาลฎีกาฯให้เอกชนรายใหญ่ออกจากพื้นที่สาธารณะริมหาด จ.ภูเก็ต มูลค่าหมื่นล.