- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- เปิดหนังสือลับ "สบน."แย้ง “กิตติรัตน์” ดันทุรัง หาเงินกู้โปะจำนำข้าว
เปิดหนังสือลับ "สบน."แย้ง “กิตติรัตน์” ดันทุรัง หาเงินกู้โปะจำนำข้าว
เปิดหนังสือลับ "สบน."แย้ง “กิตติรัตน์” ดันทุรัง หาเงินกู้โปะจำนำข้าว -หากผิดกฎหมาย ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินการเรื่องนี้บ้าง?
ไม่ว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะหาแหล่งเงินกู้จากไหน มาใช้ในการดำเนินงานโครงการรับจำนำข้าว ที่ยังมีปัญหาค้างชำระหนี้กับชาวนาที่ยืดเยื้อมานานหลายเดือน ได้สำเร็จตามที่คาดหวังไว้หรือไม่
แต่หากความพยายามในการหาแหล่งเงินกู้ ในลักษณะการเปลี่ยนแปลงการกู้ยืมเงิน โดยการปรับลดวงเงินกู้และค้ำประกันหนี้ของรัฐวิสาหกิจบางแห่งลง และนำวงเงินกู้มาเพิ่มเติมให้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อนำมาใช้จ่ายในโครงการรับจำนำข้าว ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2557ที่ผ่านมา
ปรากฎผลในภายหลังว่าการกระทำดังกล่าว เป็นการฝ่าฝืนหรือละเมิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญอันมีผลทำให้เกิดความรับผิดชอบในทางกฎหมาย
คำถามที่น่าสนใจ คือ ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ กับการดำเนินการในเรื่องนี้บ้าง?
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2557 ที่ผ่านมา นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้ทำบันทึกข้อความ ด่วนที่สุด เลขที่ กค 0900/192 ถึงรองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน เพื่อขอให้นำเรียนข้อสังเกตต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต่อกรณีการค้ำประกันเงินกู้โครงการรับจำนำข้าวเปลือก (นาปี) ปีการผลิต 2556/2557
จากการตรวจสอบพบว่า ในช่วงท้ายบันทึกข้อความฉบับนี้ ระบุข้อความเห็นของ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะไว้ดังนี้
"...สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะพิจารณาข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย ตลอดจนความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยละเอียดรอบคอบแล้ว
เห็นว่า
2.1 โครงการรับจำนำข้าวเปลือก (นาปี) ปีการผลิต2556/2557 กรอบวงเงิน270,000 ล้านบาท คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้ดำเนินโครงการและให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดหาเงินทุนให้กับ ธ.ก.ส. เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการดังกล่าวก่อนที่มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรฯ และในส่วนของการค้ำประกันเงินกู้ของโครงการดังกล่าว คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติภายหลังจากที่ได้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรแล้ว
แต่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ให้ความเห็นว่า “โครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2556/2557 ได้ก่อให้เกิดหนี้ที่รัฐบาลมีหน้าที่ต้องชำระตามกฎหมาย โดยโครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติไว้แล้วก่อนมีการตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ.2556 ดังนั้น การที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2557 อนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ของรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนมอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่างๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสม และจำเป็น (ดูหนังสือเชิญชวนธนาคารประกอบท้ายเรื่อง) จึงเป็นการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการคลัง ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 เพื่อให้สามารถชำระหนี้ของรัฐบาลตามโครงการที่ได้รับอนุมัติก่อนการยุบสภาผู้แทนราษฎร จึงไม่ถือเป็นการกระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการหรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไปตามบทบัญญัติมาตรา 181(3) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” (ดูเอกสารฉบับเต็มประกอบท้ายเรื่อง)
2.2 การที่ กกต.มีความเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงการกู้ยืมเงินโดยการปรับลดวงเงินกู้และค้ำประกันหนี้ของรัฐวิสาหกิจบางแห่งลง และนำวงเงินกู้มาเพิ่มให้แก่ ธ.ก.ส. สำหรับนำมาใช้จ่ายในโครงการรับจำนำข้าวตามนโยบายของรัฐบาลนั้น อาจมีผลกระทบต่อความรับผิดชอบของคณะรัฐมนตรี หากมีการวินิจฉัยชี้ขาดโดยองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ต่อไปว่า การดำเนินการดังกล่าวอาจเป็นการฝ่าฝืนหรือละเมิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญอันอาจมีผลทำให้เกิดความรับผิดชอบในทางกฎหมายและในทางการเมืองตามมาได้
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ จึงมีข้อสังเกตว่า การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2557 สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือก (นาปี) ปีการผลิต2556/2557 ตามมติคณะรัฐมนตรีข้างต้น อาจถูกวินิจฉัยชี้ขาดโดยองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ฯ ต่อไปได้ว่าการดำเนินการดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ มาตรา181(3) หรืออาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดีได้
อย่างไรก็ตาม สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะตระหนักดีว่า กระทรวงการคลังมีภารกิจที่ต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2556 และวันที่ 21 มกราคม 2557 ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ดังนั้น จึงเห็นควรนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาทบทวน หรือสั่งการยืนยันให้ดำเนินการดังกล่าวต่อไป”
จากนั้น บันทึกข้อความของ สบน. ฉบับนี้ ได้ถูกนำเสนอตามขั้นตอนสายงานราชการ จนกระทั่งไปถึงมือ นายกิตติรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เบื้องต้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า
“...เรียน รองปลัดกระทรวงการคลัง และผอ.สบน.
การที่ กกต.ระบุว่าการดำเนินการตามมติ ครม.วันที่ 21 ม.ค.2557 ไม่เข้าข่ายการใช้จ่ายตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 (1) ,(2) และ (4) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่าการดำเนินการตามมติครม.ดังกล่าว ไม่ขัดต่อมาตรา 181(3) ของรัฐธรรมนูญ
ในขณะที่กระทรวงการคลัง มีภารกิจที่ต้องดำเนินการตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 3 ก.ย.2556 และวันที่ 21 ม.ค.2557
จึงยืนยันให้ดำเนินการตามมติ ครม.วันที่ 21 ม.ค. 2557 ต่อไป...”
สรุปความเห็นของ นายกิตติรัตน์ ง่ายๆ สำหรับกรณีนี้ คือ ให้เดินหน้า "ลุย" ต่อไป
หากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น กกต. , สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และ ครม. เป็นผู้รับผิดชอบเอง?
----
หมายเหตุ: เอกสารประกอบท้ายข่าว
@ หนังสือเชิญชวนสถาบันการเงินให้เข้าร่วมปล่อยกู้โครงการจำนำข้าว
@หนังสือตีความกฎหมายจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา