- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- เปิด 3 ประสบการณ์อาสาเปลี่ยนโลก ‘V are Family’
เปิด 3 ประสบการณ์อาสาเปลี่ยนโลก ‘V are Family’

งานอาสาสมัครมีมากมายหลายอย่างขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างสถาบันครอบครัว ทั้งของตนเอง ชุมชน และสังคม เช่นเดียวกับบุคคล 3 ท่านที่มาบอกเล่าเรื่องราวของการเป็นจิตอาสาผ่านเวที ‘เปิดโลกอาสา ครั้งที่ 8:V are Family’ จัดโดยธนาคารจิตอาสา ณ บ้านเซเวียร์ ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อเร็วๆ นี้
‘คุณแม่อาสา’ หัวใจอารีย์เลี้ยงเด็กกำพร้า 18 คน
สมพร สุขสมจิตต์ คุณแม่อาสาวัย 61 ปี จากโครงการครอบครัวอุปถัมภ์สหทัยมูลนิธิ เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการเข้ามารับเป็นคุณแม่อาสาว่า เดิมคุณแม่ของตนเองทำอยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อท่านเสียชีวิตจึงได้เข้ามารับช่วงดูแลต่อ โดยรับเลี้ยงเด็กมาแล้วรวม 18 คน ตั้งแต่ปี 2535 จนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 21 ปี ซึ่งเราต้องเลี้ยงดูเด็กเหมือนดังแม่แท้ ๆ ตลอด 24 ชั่วโมง
“การเป็นคุณแม่อาสาไม่สามารถเป็นได้ทุกคน เพราะมูลนิธิจะสำรวจบ้านว่ามีความพร้อมในการรับอุปการะเด็กกำพร้าหรือไม่ หากพบว่าคนในครอบครัวยอมรับทุกคนก็จะนำเด็กมาฝากไว้ แต่หากคนใดคนหนึ่งในครอบครัวไม่ยอมรับ ต่อให้ผู้เป็นแม่อาสาพร้อมเพียงใดก็ไม่สามารถจะรับอุปการะเด็กได้” คุณแม่อาสาวัยเกษียณ กล่าว และบอกว่า มูลนิธิจะจำกัดจำนวนเด็กกำพร้า 2-3 คน/ครอบครัว สามารถเลือกเพศหญิง/ชายได้ แต่ไม่สามารถเลือกประวัติของเด็กได้ โดยจะจ่ายค่าเลี้ยงดูให้ทั้งหมด พร้อมค่าตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ เดือนละ 2,000 บาท/คน
แม่สมพร เล่าว่า แม้ตนเองจะไม่ได้ประกอบอาชีพอื่นเลย แต่ค่าตอบแทนที่ได้รับจากมูลนิธิก็เพียงพอสำหรับ 3 ชีวิตในบ้านที่ต้องดูแล คือ น้องสาวอัมพาต หลาน และคนมาอาศัย อย่างไรก็ดี ชาวบ้านในชุมชนเมื่อทราบข่าวว่า ตนเองรับเลี้ยงเด็กต่างพาบุตรหลานมาฝาก โดยให้ค่าตอบแทนเดือนละ 5,000 บาท/คน เลี้ยงดูเฉพาะกลางวันเท่านั้น แต่ตนเองได้ปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า “ไม่ต้องการเงินเยอะ” ทำให้บางคนถึงกับโกรธไปเลย
เมื่อถาม อนาคตทำใจได้หรือไม่หากวันหนึ่งเด็กกำพร้าที่เลี้ยงต้องไปอยู่กับครอบครัวบุญธรรมนั้น เธอบอกว่า แรก ๆ ยังทำใจไม่ได้ ถึงขนาดนั่งร้องไห้และนอนไม่หลับไปหลายวัน แต่อีกใจหนึ่งก็นึกดีใจที่เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งทุกครั้งที่เขาเหล่านั้นส่งข่าวกลับมาเราก็มีความสุข
“ถ้าตนเองไม่มีใจรักและเมตตาต่อเด็กกำพร้าคงทำไม่ได้นานขนาดนี้ เพราะทุกครั้งที่เห็นเด็กจะรู้สึกสงสารที่เกิดมาแล้วไม่มีใครต้องการ จึงจะขอยืนหยัดเป็นแม่อาสาเลี้ยงดูเด็ก ๆ ต่อไปจนกว่าจะไม่มีเรี่ยวแรง” คำยืนยัน ของแม่อาสาวัย 61 ปีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
‘ครูแม่หนู’ สร้างจิตอาสาถักรักปันอุ่น
“ตนเองเข้ามาเป็นอาสาสมัครได้ เพราะอยากให้ลูกรู้จักการเสียสละ เนื่องจากเด็กสมัยนี้จะแข่งขันกันเรียนเพื่อให้ได้เกรดที่ดี แต่ทุกครั้งจะมีคำถามย้อนกลับว่า ‘เรียนเก่งแล้วเป็นคนดีหรือไม่’” พยอม อยู่สุข หรือครูแม่หนูของชาวเครือข่ายชีวิตสิกขา แบ่งปันประสบการณ์
เธอเป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนขับเคลื่อนโครงการ ‘ถักรักปันอุ่น’ ที่จัดขึ้นในสวนโมกข์กรุงเทพฯ ทุกเดือน
ครูแม่หนู เล่าต่อว่า เริ่มเข้ามาทำงานอาสาตอนที่ลูกเข้าเรียนชั้นม.1 ขณะนั้นโรงเรียนมีนโยบายให้นักเรียนต้องทำกิจกรรมจิตอาสา โดยให้เช็ดคอมพิวเตอร์ นับสำลีในห้องพยาบาล กวาดขยะ เมื่อครบ 2 ชั่วโมงก็ได้รับคะแนน โดยที่นักเรียนไม่เข้าใจความหมายของคำว่า จิตอาสาเลย
“เคยถามลูกว่า ทำจิตอาสาแล้วได้อะไร ลูกตอบว่าได้คะแนนไงแม่ เราจึงคิดว่าไม่ใช่”
ทั้งที่ความจริงแล้วงานจิตอาสาคือการเสียสละ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ดังนั้นในฐานะแม่จึงไม่ให้ลูกไปทำกิจกรรมจิตอาสากับโรงเรียน แต่ให้ทำกับครอบครัวแทน โดยเลือกกิจกรรมที่สามารถไปเช้าเย็นกลับได้ สุดท้ายลงเอยที่ ‘สวนโมกข์ กรุงเทพฯ’ กับโครงการถักรักปันอุ่น
พยอม เล่าถึงกิจกรรมของโครงการนั้นจะเน้นงานเย็บปักถักร้อยเพื่อผู้พิการ คนด้อยโอกาส หรือผู้ป่วย เช่น เย็บถุงชายผ้าเหลือง ถักโครเชต์ดอกไม้ ถักหมวกไหมพรม ซึ่งระหว่างที่กำลังทำนั้น ใจก็รู้สึกดี มีความสุข เกิดจิตที่แบ่งปัน ที่สำคัญ จากเดิมที่เคยทำงานเคร่งเครียด แต่เมื่อได้เข้าเป็นจิตอาสารู้สึกสงบ และลูกก็มีความรับผิดชอบมากขึ้น จึงเห็นว่าเป็นกิจกรรมที่เหมาะสมกับเราและครอบครัวมาก
เมื่อถามว่าสิ่งที่จะได้รับจากโครงการนี้คืออะไร เธอมองว่ามันสามารถเปลี่ยนวิธีคิดและช่วยพัฒนาจิตใจได้ เนื่องจาก
กิจกรรมเราไม่เน้นผลงาน แต่เน้นการพัฒนาจิตใจที่อาสามากกว่า
พร้อมยกตัวอย่าง...
คุณยายท่านหนึ่งเป็นโรคอัลไซเมอร์ ลูกสาวได้พามาร่วมกิจกรรมจิตอาสาด้วย ท่านก็ให้เราสอนทักษะการเย็บปักถักร้อย เชื่อหรือไม่ว่า ปัจจุบันอาการอัลไซเมอร์ลดลงมากแล้ว เนื่องจากการทำกิจกรรมช่วยให้เกิดความผ่อนคลายนั่นเอง
‘อรนุช เลิศกุลดิลก’ กับธุรกิจเพื่อสังคม ‘ร้านคุณตาคุณยาย’
ขณะที่อรนุช เลิศกุลดิลก โครงการเพื่อผู้สูงอายุ แทบไม่น่าเชื่อว่าการเสียชีวิตของพ่อกะทันหันจะทำให้เธอหันเหชีวิตจากการเป็นเอ็นจีโอช่วยเหลือเด็กตกเขียวและอีกหลายโครงการตั้งแต่วัยเรียน กลับมาดูแลแม่วัยชรา เพียงเพื่ออยากใช้ชีวิตอยู่กับคนที่รักให้ยาวนานที่สุด
และนี่เป็นจุดเริ่มต้นในการดูแลผู้สูงอายุอีกหลายชีวิตในสังคมจนถึงปัจจุบัน
“แม้จะเข้ามาทำงานด้านผู้สูงอายุแล้ว แต่ในใจลึก ๆ ยังอยากช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่ยากไร้ให้มีชีวิตที่ดีขึ้นอยู่” เธอระบุถึงความใฝ่ฝัน
จากนั้นได้ยกตัวอย่างโครงการธุรกิจเพื่อสังคมอย่าง ‘ร้านคุณตาคุณยาย’ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือผู้สูงอายุให้ดีที่สุด โดยรับบริจาคสิ่งของที่จำเป็น เช่น ผ้าอ้อม เตียงผู้ป่วย ไม้เท้า ซึ่งหากสิ่งของชำรุดตนเองกับแม่จะนำมาซ่อมแซม ก่อนจะนำไปขายต่อในราคาถูกแก่ผู้สูงอายุที่ต้องการ
"ของส่วนใหญ่จะได้มาฟรี เพราะผู้บริจาคสงสารผู้สูงอายุหลายคนที่ยากจน"
ทุกวันนี้ อรนุช ยังคงยืนหยัดทำงานเพื่อสังคม โดยได้กำลังใจจากครอบครัว จากพ่อแม่ที่เป็นแบบอย่างที่ดีในการช่วยเหลือคนจน เธอจึงซึมซับงานจิตอาสาแบบไม่รู้ตัว โดยไม่ต้องยัดเยียด.
