หรือจะให้ความกระหายข่าวยังเป็นเช่นนี้ต่อไป?
"...ความกระหายข่าวและแย่งชิงความได้เปรียบในการนำเสนอไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นมานานจนคนทำคิดว่าตนเองไม่ผิดและมิสิทธิที่จะทำเช่นนั้น..."
พลันที่การนำเสนอข่าวการเสียชีวิตของดาราเป็นประเด็นที่คนส่วนใหญ่พูดถึง ก็มีการตั้งคำถามขึ้นมาว่า ถ้าไม่ใช่ดาราจะมีคนสนใจหรือไม่ เพราะสื่อมุ่งหวังเพียงการขายข่าวจนลืมจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ
ในฐานะที่เป็นครูสอนด้านนิเทศศาสตร์ ตั้งคำถามต่อตนเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่า เราเป็นครูที่สอนดีเพียงพอหรือไม่ หรือแท้จริงแล้ว ในสถานการณ์จริงอุดมการณ์มันกินไม่ได้
แต่เราจะปล่อยให้สังคมเป็นเช่นนี้ต่อไปหรือ?
ความกระหายข่าวและแย่งชิงความได้เปรียบในการนำเสนอไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นมานานจนคนทำคิดว่าตนเองไม่ผิดและมิสิทธิที่จะทำเช่นนั้น
สิบปีที่แล้ว ในช่วงของการเปิดภาคเรียน สื่อส่วนใหญ่กำหนดวาระของข่าวไปที่เรื่องของการรับน้อง แน่นอนมันมีข่าวเกิดขึ้นจริงในหลายๆ สถาบัน แต่ประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นและไม่เคยลืมเลยก็คือ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างการซ้อมอเมริกันเชียร์ น้องใหม่ในชมรมหมดสติต้องนอนโรงพยาบาล พี่ๆ ในชมรมตกเป็นเหยื่อของข่าวและสังคม นักข่าวไปสัมภาษณ์ผู้รักษากฎหมาย สัมภาษณ์แพทย์ ผู้ปกครอง รวมทั้งผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ภาพของน้องที่นอนยังไม่รู้สึกตัวที่โรงพยาบาลถูกเผยแพร่ออกไป ครั้งแล้วครั้งเล่า
ที่สุดก็ถึงขั้นที่สำนักข่าวทั้งทีวีและหนังสือพิมพ์ส่งผู้สื่อข่าวไปนั่งอยู่หน้าห้องของน้องที่โรงพยาบาล และส่งรถโอบีแวนมาถ่ายสดที่มหาวิทยาลัย
ในขณะที่พี่ที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีใครยืนเคียงข้าง ผู้ที่เป็นครูย่อมต้องยื่นมือไปให้เขาจับและช่วยคิดหาทางออกที่ดีที่สุดโดยเริ่มต้นที่การพูดความจริง
ในวันที่สับสนพวกเราต้องให้ปากคำกับตำรวจที่มาดูสถานที่จริงที่มหาวิทยาลัย เราเดินทางไปสถานีตำรวจและต้องรอเพื่อให้นักข่าวอาชญากรรมมาทำข่าวก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเริ่มการสอบสวน
เมื่อกลับมาที่คณะฯก็เจอนักข่าวกลุ่มใหญ่ที่รอถ่ายภายภาพเพื่อรายงานความคืบหน้า วันนั้นมีทีมงานของรายการข่าวหลายช่องมาขอนัดเวลาให้พวกเราไปออกอากาศ แน่นอน พวกเราตอบตกลงเพื่อจะได้อธิบายเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น
ช่องสาธารณะนัดเราเข้ารายการประมาณสองทุ่มเศษ รายการคุยข่าวอีกรายการขอให้เข้าร่วมถ่ายทอดสดในเวลาสี่ทุ่ม
หลังจากนั้นครูและศิษย์ก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ พักผ่อนและเตรียมตัว เพราะเราไม่ได้นอนกันมาเกิน 24 ชั่วโมงแล้ว
ยังไม่ทันสองทุ่มทีมงานของรายการคุยข่าวก็โทรไปตาม ครูเลยตอบไปว่า รายการเริ่มสี่สี่ทุ่มมิใช่หรือ ทีมงานบอกว่าอยากให้เตรียมพร้อมก่อน จึงตอบไปว่า ยังไงไปถึงก่อนเวลาแน่นอน แต่เราก็ยังถูกโทรตามซ้ำๆ
ใกล้เวลาที่นัดไว้กับสื่อสาธารณะ ครูกับศิษย์จึงไปพบทีมงาน ระหว่างที่ทีมงานกำลังติดไมค์และเตรียมพร้อมตัดเข้าสู่รายการข่าวที่สถานีอยู่นั้น พิธีกรรายการคุยข่าวและเพื่อนซี้(ในเวลานั้น)ก็พยายามที่จะดึงตัวครูและศิษย์ไปออกรายการข่าวก่อนรายการทอล์ค ให้ได้ แต่เราบอกว่า เรานัดกับสถานีนี้ก่อนและที่สำคัญช่องรายการทอล์คก็มิได้นัดเราในเวลานี้ เพียงชั่วพริบตาก็เห็นพิธีกรร่างใหญ่พูดว่า เมื่อไม่มาให้เราสัมภาษณ์เราก็จะไปสัมภาษณ์ถึงที่ แล้วก็ถือไมค์และส่องไฟตามมาที่บริเวณที่จัดไว้สำหรับช่องสาธารณะ และเขาก็ไม่ได้สัมภาษณ์ครู แต่สัมภาษณ์ศิษย์เพียงไม่กี่ประโยคและเชิญชวนให้ผู้ชมติดตามรายการทอล์คที่จะมีขึ้นในชั่วโมงถัดไป
ครูนิเทศศาสตร์ได้แต่อึ้ง และงงกับการชิงความได้เปรียบของการนำเสนอข่าวในลักษณะเช่นนี้
เหตุการณ์ครั้งนั้น มันมิได้มีเพียงการชิงความได้เปรียบ แต่มันรวมถึงการนำเสนอภาพที่ไม่เหมาะสมทั้งของผู้ที่หมดสติในโรงพยาบาล ภาพการสวมกุญแจมือพี่ที่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุที่ตำรวจตั้งข้อหาว่าทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ
มันมีรายละเอียดที่ตามมาอีกมากมาย แต่ผลกระทบที่รุนแรงที่ผู้อยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์รับรู้ได้ก็คือ การ กระทำเช่นนี้เป็นการละเมิดและตัดสินให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่เหมือนตายทั้งเป็น
เหตุการณ์นี้ผ่านมาสิบปีแล้ว แต่เราจะปล่อยให้ความกระหายข่าวกระทำต่อผู้บริสุทธิ์ต่อไปอีกนานเท่าใด หรือต้องรอให้เกิดกับคนที่เรารักเสียก่อนเราจึงจะเปลี่ยนแปลง?
ขอบคุณภาพประกอบจากแฟนเพจ Pixel Crazy 8bit สมาคมคนรัก8บิท