เจาะ“บ.เสรีชัยฯ”เบอร์หนึ่งคู่ค้า“อาวุธ"กองทัพ ทำธุรกิจ 16 ปี โกย 5.6 พันล.

เจาะงบดุล “เสรีชัยยุทธภัณฑ์” เบอร์หนึ่งคู่ค้า “ค้าอาวุธ-ยุทธภัณฑ์” กองทัพ 214 ครั้ง 3.8 พันล. บริษัทในเครือตระกูล “ยอดวานิช” ทำธุรกิจ 16 ปี โกย 5,604 ล้าน

ในจำนวนบริษัทเอกชน 4 แห่ง คือ บริษัท เสรีชัยยุทธภัณฑ์ จำกัด บริษัท ช.ไพศาล จำกัด ของคนในตระกูล “ยอดวานิช” และ บริษัท ชัยเสรี (กรุงเทพ) จำกัด และ บริษัท ชัยเสรีเม็ททอลแอนด์ รับเบอร์ จำกัด ของคนในตระกูล ”กุลหิรัญ” ซึ่งปรากฏรายชื่อเป็นผู้รับจ้างจัดหาอาวุธและยุทธภัณฑ์กับหน่วยงานของกระทรวงกลาโหม ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา รวมจำนวนกว่า 588 ครั้ง รวมวงเงิน 9,761,246,505 บาท

(อ่านประกอบใน : เปิดใบหุ้น“มัด”เครือข่าย 4 บริษัทใหญ่กวาด“ค้าอาวุธ"กองทัพ 9.7 พันล. , ขุดบริษัทต้นทางธุรกิจ2ตระกูลก่อนแยกตัวคว้างาน“ค้าอาวุธ"กองทัพ 9.7พันล.)

บริษัท เสรีชัยยุทธภัณฑ์ จำกัด ของ คนในตระกูล “ยอดวานิช” เป็นบริษัทที่ถูกจับตามองมากที่สุด เนื่องจากปรากฎรายชื่อเป็นผู้รับจ้าง เป็นจำนวนมากที่สุดถึง 214 ครั้ง รวมวงเงิน 3,410,865,730 บาท

คำถามที่น่าสนใจ ผลการประกอบธุรกิจของบริษัท เสรีชัยยุทธภัณฑ์ จำกัด ในช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง? 

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบข้อมูลในงบการเงินที่บริษัท เสรีชัยยุทธภัณฑ์ จำกัด แจ้งไว้ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ นับตั้งแต่ปี 2540 จนถึงปัจจุบัน พบรายละเอียดดังนี้ 

ในปี 2540 แจ้งว่า มีรายได้รวม 211,267,693.81 บาท มีกำไรสุทธิ 13,963,318.87 บาท 

ปี 2541 แจ้งว่ามีรายได้รวม 172,945,208.29 บาท มีกำไรสุทธิ 6,663,897.12 บาท 

ปี 2542 แจ้งว่ามีรายได้รวม 98,853,708.65 บาท ขาดทุนสุทธิ 7,633,042.34 บาท

ปี 2543 แจ้งว่ามีรายได้รวม 202,110,656.07 บาท มีกำไรสุทธิ 4,444,965.03

ปี 2544 แจ้งว่ามีรายได้รวม 403,799,482.35 บาท มีกำไรสุทธิ 8,311,826.89 บาท

ปี 2545 แจ้งว่ามีรายได้รวม 465,985,440.41 บาท ขาดทุนสุทธิ 5,999,310.96 บาท

ปี 2546 แจ้งว่ามีรายได้รวม 343,966,962.55 บาท กำไรสุทธิ 7,977,497.21 บาท

ปี 2547 แจ้งว่ามีรายได้รวม 201,313,985.43 บาท กำไรสุทธิ 2,843,313.95 บาท

ปี 2548 แจ้งว่ามีรายได้รวม 208,094,411.49 บาท ขาดทุนสุทธิ 2,421,793.54 บาท

ปี 2549 แจ้งว่ามีรายได้รวม 188,982,729.31 บาท ขาดทุนสุทธิ 5,442,755.43 บาท

ปี 2550 แจ้งว่ามีรายได้รวม 187,622,361.76 บาท กำไรสุทธิ 1,124,492.84 บาท

ปี 2551 แจ้งว่ามีรายได้รวม 577,768,948.42 บาท กำไรสุทธิ 28,609,104.98 บาท

ปี 2552 แจ้งว่ามีรายได้รวม 610,720,099.54 บาท มีกำไรสุทธิ 60,500,073.09 บาท

ปี 2553 แจ้งว่ามีรายได้รวม 537,618,473.23 บาท มีกำไรสุทธิ 39,702,791.88 บาท

ปี 2554 แจ้งว่ามีรายได้รวม 607,407,718.18 บาท มีกำไรสุทธิ 37,914,376.47 บาท

ปี 2555 แจ้งว่ามีรายได้รวม 585,903,445.29 บาท มีกำไรสุทธิ 14,575,424.46 บาท

รวมตัวเลขรายได้รวมในการทำธุรกิจ 16 ปี ที่ผ่านมา เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 5,604,361,324.78 บาท

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า นับตั้งแต่ช่วงปี 2551 จนถึงปัจจุบัน บริษัทฯ มีรายได้ทุก 500 ล้านบาท ทุกปี 

โดยในหมายเหตุประกอบงบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555 ผู้สอบบัญชีระบุว่า บริษัท เสรีชัยยุทธภัณฑ์ จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยุทธภัณฑ์ เป็นหลัก บริษัทฯ มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเป็นจำนวน 46,466,328.53 บาท มีสินค้าคงเหลือ จำนวน 44,276,869.07 บาท โดยในจำนวนนี้เป็นงานระหว่างทำ จำนวน 2,417,173.16 บาท

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า บริษัทเสรีชัยยุทธภัณฑ์ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2529 ปัจจุบันมีทุน 5 ล้านบาท ตั้งอยู่เลขที่ 55/20 หมู่ที่ 5 ซอยรณสิทธิพิชัย ถนนสนามบินน้ำ ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี แจ้งประกอบธุรกิจประมูลงานราชการผลิตเครื่องใช้ทางทหารส่งราชการ ซื้อมาขายไปและผลิตเครื่องใช้ทางทหารขายบริษัทเอกชน – ผู้ผลิต ปรากฎรายชื่อ นาย ศักดิ์ชัย ยอดวานิชเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ 

ทั้งนี้ ในช่วงระยะเวลาการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทฯ แห่งนี้ ยังเป็นช่วงระยะเวลาที่ คนในตระกูล ยอดวานิช ยังทำธุรกิจร่วมกับคนในตระกูล “กุลหิรัญ” ภายใต้ชื่อ บริษัท ชัยเสรีอิมปอร์ต จำกัด ที่จดทะเบียนจัดตั้งในช่วงปี 2517 ก่อนที่บริษัทแห่งนี้ จะแจ้งเลิกกิจการ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2546 และได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2546 

ก่อนที่สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org จะตรวจสอบพบว่า เอกชนรายใหญ่ 4 บริษัท คือ บริษัท เสรีชัยยุทธภัณฑ์ จำกัด บริษัท ช.ไพศาล จำกัด มีผู้ถือหุ้นชุดเดียวกัน และเชื่อมโยงกับบริษัท ชัยเสรี (กรุงเทพ) จำกัด และ บริษัท ชัยเสรีเม็ททอลแอนด์ รับเบอร์ จำกัด ได้รับการจัดซื้อจัดจ้างกับกองทัพมานับสิบปี 

(อ่านประกอบ: เปิด10บริษัท“ค้าอาวุธ-ยุทธภัณฑ์”รายใหญ่คู่ค้ากองทัพ1,200 ครั้ง 1.8 หมื่นล.)