- Home
- Investigative
- การทำผิดของเอกชน
- ชัดๆ พฤติการณ์-หลักฐานมัด'เสี่ยเปี๋ยง'ยักยอกข้าวรัฐ 229ล.ก่อนนอนคุกปากน้ำ
ชัดๆ พฤติการณ์-หลักฐานมัด'เสี่ยเปี๋ยง'ยักยอกข้าวรัฐ 229ล.ก่อนนอนคุกปากน้ำ
เปิดสำนวนคดียักยอกข้าวรัฐ 229 ล. ก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษาสั่งจำคุก'เสี่ยเปี๋ยง' 6 ปี เข้าไปใช้ชีวิตในเรือนจำกลางสมุทรปราการ แดน 3 ระบุชัดเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทน บ.เพรซิเดนท์- รู้เห็นเบียดบังของหลวงออกไปขายต่างประเทศ
ในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ตัดสินลงโทษ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกิ เทรดดิ้ง จำกัด จำเลยที่ 1 นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ เสี่ยเปี๋ยง อดีตพ่อค้าข้าวชื่อดังของประเทศไทย จำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขแดง 1755-1756/2558 และ 1757-1758/2558 ที่พนักงานอัยการคดีศาลแขวงสมุทรปราการ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัทเพรซิเดนท์ฯ และนายอภิชาติ ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก หลังจากไม่นำข้าวสารที่ได้รับการว่าจ้างให้ปรับปรุงจากกรมการค้าต่างประเทศมาส่งมอบคืนในช่วงปี 2550 แต่นำไปส่งออกต่างประเทศเอง
ก่อนที่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะพิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกนายอภิชาติ สำนวนละ 3 ปี รวมจำคุกสองสำนวนเป็นเวลา 6 ปี ไม่รอลงอาญา และปรับบริษัทเพรซิเดนท์ฯ สำนวนละ 6,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,000 บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมคืนข้าวสารที่ยักยอกไปในสำนวน อ.833-834/2558 จำนวน 16,400 ตัน หรือใช้เป็นเงินแทนจำนวน 175,480,000 บาท ให้กับกรมการค้าต่างประเทศกระทรวงพาณิชย์ ผู้เสียหาย และให้ร่วมกันคืนข้าวสารในสำนวน อ.835-836/2558 จำนวน 4,742.96 ตัน หรือใช้เงินแทน 54,385,902.07 บาท
มีการระบุเหตุผลสำคัญที่ทำให้ 'นายอภิชาติ' ต้องถูกตัดสินลงโทษไว้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะสถานะและพฤติการณ์ของนายอภิชาติ
(อ่านประกอบ: ชีวิตในเรือนจำปากน้ำแดน 3 'เสี่ยเปี๋ยง' หลังเจอคุก 6 ปี ยักยอกข้าวรัฐ)
เพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบข้อมูลส่วนนี้ชัดเจนมากขึ้น สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รวบรวมข้อมูลมานำเสนอแบบชัดๆ ดังนี้
คดียักยอกข้าวจำนวน 16,400 ตัน จากจำนวนข้าวที่ได้รับว่าจ้างให้ปรับปรุงทั้งหมด 20,000 ตัน
-เกิดเหตุระหว่างวันที่ 8 มิ.ย. 2550 -16 ก.ค. 2550
คำพิพากษาระบุว่า ฝ่ายโจทก์ นำสืบว่า นายอภิชาติ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทเพรซิเดนท์ฯ โดยลงลายมือชื่อคนเดียว และประทับตราสำคัญของบริษัทเพรซิเดนท์ฯ กระทำการผูกพันบริษัทเพรซิเดนท์ฯ ได้ตามหนังสือรับรอง
แม้นายอภิชาติ จะกระทำการในฐานะผู้แทนของบริษัทเพรซิเดนท์ฯ แต่การที่นายอภิชาติ เพียงผู้เดียวลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัทเพรซิเดนท์ฯ แสดงว่า อำนาจในการบริหารงานของบริษัทเพรซิเดนท์ฯ อยู่ในความควบคุมของนายอภิชาติ เห็นได้จากการที่บริษัทเพรซิเดนท์ฯ จะรับมอบข้าวสารจากกรมการค้าต่างประเทศ นายอภิชาติเป็นผู้ลงลายมือชื่อมอบให้ตัวแทนเป็นผู้รับมอบข้าวสารแทนตามหนังสือมอบอำนาจ
การดำเนินการและกระทำการของบริษัทเพรซิเดนท์ฯ จึงอยู่ในความรับรู้และรับผิดชอบของนายอภิชาติ ไม่ว่าจะเป็นการทำสัญญาและการรับข้าวสารไว้ปรับปรุงตามสัญญา
ขณะที่จากการสืบพยาน รับฟังได้ว่า การนำข้าวสารออกจากโกดังของบริษัทเพรซิเดนท์ฯ ต้องได้รับมอบอำนาจจากนายอภิชาติ ผู้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนเท่านั้น ส่วนการส่งข้าวสารไปขายต่างประเทศจำนวนมากนั้น หากนายอภิชาติ ไม่ได้รับรู้ด้วยย่อมไม่อาจดำเนินการได้
และจากการเบิกความพยาน พบว่า หากมีปัญหาเกี่ยวกับการส่งออกและคุณภาพข้าวสาร นายอภิชาติ จะโทรศัพท์ติดต่อบุคคลรายหนึ่งให้ช่วยดำเนินการแก้ไขปัญหาให้ อีกทั้งยังได้ความอีกว่า ระหว่างที่บริษัทเพรซิเดนท์ฯ ต้องปรับปรุงคุณภาพข้าวสารตามสัญญา ได้ส่งข้าวออกไปขายต่างประเทศจำนวนมาก ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบและรู้เห็นของนายอภิชาติด้วย และเมื่อมีการบอกเลิกสัญญาปรับปรุงข้าวแล้ว ผู้เสียหายได้ไปตรวจสอบข้าวสารในโกดังของบริษัทเพรซิเดนท์ฯ ก็พบข้าวสารเหลืออยู่เพียงแค่ 3,044.75 ตันเท่านั้น
ขณะที่พยานหลักฐานของบริษัทเพรซิเดนท์ฯ และนายอภิชาติ ก็ยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างหลักฐานของโจทก์ได้
ในทางตรงกันข้าม พยานหลักฐานโจทก์ มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่า บริษัทเพรซิเดนท์ฯ และนายอภิชาติ ร่วมกันรับมอบข้าวสารจากผู้เสียหายแล้วร่วมกันเบียดบังข้าวสารบางส่วนจำนวน 16,400 ตัน เป็นของตนเองโดยทุจริต
การกระทำจึงเป็นความผิดตามฟ้อง
คดียักยอกข้าวจำนวน 4,742.96 ตัน จากจำนวนข้าวที่ได้รับว่าจ้างให้ปรับปรุงทั้งหมด 44,086.96 ตัน
-เกิดเหตุระหว่างวันที่ 1 มี.ค. 2550 -25 ต.ค. 2550
คำพิพากษาระบุว่า ฝ่ายโจทก์ นำสืบ(เหมือนคดียักยอกข้าว จำนวน16,400 ตัน) ว่า นายอภิชาติ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทเพรซิเดนท์ฯ โดยลงลายมือชื่อคนเดียวและประทับตราสำคัญของบริษัทเพรซิเดนท์ฯ กระทำการผูกพันบริษัทเพรซิเดนท์ฯ ได้ตามหนังสือรับรอง
แม้นายอภิชาติจะกระทำการในฐานะผู้แทนของบริษัทเพรซิเดนท์ฯ แต่การที่นายอภิชาติ เพียงผู้เดียวลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัทเพรซิเดนท์ฯ แสดงว่า อำนาจในการบริหารงานของบริษัทเพรซิเดนท์ฯ อยู้ในความควบคุมของนายอภิชาติ เห็นได้จากการที่บริษัทเพรซิเดนท์ฯ จะรับมอบข้าวสารจากกรมการค้าต่างประเทศ นายอภิชาติเป็นผู้ลงลายมือชื่อมอบให้ตัวแทนเป็นผู้รับมอบข้าวสารแทนตามหนังสือมอบอำนาจ การดำเนินการและกระทำการของบริษัทเพรซิเดนท์ฯ จึงอยู่ในความรับรู้และรับผิดชอบของนายอภิชาติ
แต่ข้อมูลที่เพิ่มเติมขึ้นมา คือ ได้ความจากคำเบิกความจากพยานฝ่ายโจทก์ว่า ที่ต้องดำเนินคดีแก่นายอภิชาติ เนื่องจากเป็นผู้ริเริ่มติดต่อกับกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อเข้ารับทำสัญญาปรับปรุงคุณภาพข้าวที่มีปัญหาข้อพิพากดังกล่าวด้วย
ส่วนที่บริษัทเพรซิเดนท์ฯ และนายอภิชาติ นำสืบว่า นายอภิชาติ เป็นเพียงผู้แทนของบริษัทเพรซิเดนท์ฯ มีการแบ่งแยกอำนาจในการรับผิดชอบอย่างชัดเจน นายอภิชาติ ไม่รู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยนั้น เห็นว่า เป็นเพียงคำเบิกความลอยๆ และแม้จะแบ่งหน้าที่ชัดเจนเพียงใดก็ตาม อำนาจในการควบคุมดูแลข้าวสารยังคงอยู่ในความรู้เห็นและความรับผิดชอบของนายอภิชาติ ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทเพรซิเดนท์ฯ
ส่วนที่บริษัทเพรซิเดนท์ฯ และนายอภิชาติ นำสืบว่า เมื่อกรมการค้าต่างประเทศส่งมอบข้าวสารให้แก่บริษัทเพรซิเดนท์ เพื่อปรับปรุงคุณภาพตามสัญญาแล้ว ไม่สามารถแยกได้ว่าเป็นข้าวสารของผู้ใด เพียงแต่ต้องส่งมอบให้ได้ตามจำนวนนั้น ก็ไม่ปรากฎตามทางนำสืบของจำเลยทั้งสองว่า ได้ดำเนินการส่งมอบข้าวที่ทำการปรับปรุงตามสัญญาให้แก่ผู้เสียหายได้ และกลับปรากฎว่า เมื่อมีการเลิกสัญญาแล้ว ผู้เสียหายไปตรวจสอบข้าวสารในโกดังของบริษัทเพรซิเดนท์ฯ พบข้าวสารอยู่เพียงแค่ 100 ตันเท่านั้น
ทั้งยังได้ความอีกว่า ระหว่างที่บริษัทเพรซิเดนท์ฯ ต้องปรับปรุงคุณภาพข้าวสารตามสัญญา ได้ส่งข้าวออกไปขายต่างประเทศจำนวนมากซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบและรู้เห็นของนายอภิชาติเช่นกัน
ขณะที่พยานหลักฐานของจำเลยยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างหลักฐานของโจทก์ได้ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกับรับมอบข้าวสารจากผู้เสียหายแล้วร่วมกันเบีียดบังข้าวสารบางส่วนจำนวน 4,742.96 ตัน เป็นของจำเลยทั้งสองโดยทุจริต
การกระทำจึงเป็นความผิดตามฟ้อง
เพื่อให้ได้ความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น สำนักข่าวอิศรา ได้ตรวจสอบเอกสารการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า ในช่วงจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท เพรซิเดนท์ฯ เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2535 นายอภิชาติ ปรากฎชื่อเป็น 1 ใน 7 กรรมการที่มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท เพรซิเดนท์ฯ แต่ปรากฎชื่อเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 โดยถือหุ้นอยู่ 8,600 หุ้น หุ้นละ 100 บาท รวมเป็นเงิน 860,000 บาท จากทุนจดทะเบียนในช่วงเริ่มต้นอยู่ที่ 2 ล้านบาท (ดูเอกสารประกอบ)
หลังจากนั้น บริษัท เพรซิเดนท์ฯ ได้มีการแจ้งเปลี่ยนแปลงตัวกรรมการ และทุนจดทะเบียนหลายครั้ง จนกระทั่งเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2550 บริษัท เพรซิเดนท์ฯ ได้แจ้งเปลี่ยนแปลงตัวกรรมการใหม่ โดยนายอภิชาติ ปรากฎชื่อเป็นกรรมการผู้มีอำนาจบริษัทเพียงคนเดียว ทุนจดทะเบียนในขณะนั้นปรับขึ้นเป็น 440 ล้านบาท (ดูเอกสารประกอบ)
จากนั้นในวันที่ 27 ส.ค. 2550 บริษัท เพรซิเดนท์ฯ ได้แจ้งเปลี่ยนตัวกรรมการอีกครั้ง โดยนายอภิชาติ แจ้งลาออก ปรากฎชื่อ นายโสฬส ตระกูลลีวัฒนา และนางสาวรุ่งอรุณ สุกกล่ำ เข้ามาเป็นกรรมการผู้มีอำนาจแทน แต่นายอภิชาติก็ยังถือครองหุ้นใหญ่อยู่
ชี้ให้เห็นว่านายอภิชาติ เป็นผู้มีอำนาจในการบริหารงานบริษัท เพรซิเดนท์ฯ อย่างชัดเจน ตามที่ปรากฎในคำพิพากษาทั้ง 2 คดี
อ่านประกอบ:
ชีวิตในเรือนจำปากน้ำแดน 3 'เสี่ยเปี๋ยง' หลังเจอคุก 6 ปี ยักยอกข้าวรัฐ
ชะตากรรม "เสี่ยเปี๋ยง" คนสนิท "แม้ว" หลังเจอโทษคุก 6 ปี คดียักยอกข้าว!
อยู่แดน 3! จนท.เรือนจำปากน้ำ ยันศาลสั่งจำคุก 'เสี่ยเปี๋ยง' คดีข้าวยุค'เพรสซิเดนท์''