สุดบังเอิญ! หุ้นส่วน"เดอะบิ๊ก"ขนเงินพันล.เพิ่มทุนบ.อสังหา ที่แท้ลูกหนี้คลองจั่น 720 ล.
เปิดไส้ใน "บ.มหาชัยมีเดีย"ก่อน"เดอะบิ๊ก-พวก" ขนเงิน 6.5 พันล.เพิ่มทุนจดทะเบียน พบทำธุรกิจ 3 ปี แจ้งมีรายได้รับดอกเบี้ยหลักหมื่น ล่าสุดยังไม่นำส่งงบดุลปี 56 ฮือฮาหนึ่งในหุ้นส่วน ปรากฎชื่อเป็นเจ้าของบริษัทได้รับเงินกู้ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น 720 ล้าน
ยังคงเป็นปริศนาที่ต้องค้นหาความจริงกันต่อ!
สำหรับกรณี นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา หรือ เดอะบิ๊ก นักธุรกิจพันล้าน เจ้าของบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ตกรุ๊ป จำกัด (อยู่ระหว่างถูกตรวจสอบข้อมูลจากศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) กรณีได้รับอนุมัติเงินจาก สำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) จำนวน 2.1 พันล้านบาท เพื่อนำไปใช้นำเงินไปลงทุนโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี)
พร้อมหุ้นส่วนธุรกิจอีก 3 ราย คือ นาย ส.พิเชษฐ์ พรหมรัตน์ นายเอกภณ ปรีชาเกริกกุล นายจักรฐะพงษ์ บวรบุญเรือง นำเงินจำนวนรวมกว่า 6,500 ล้านบาท ไปลงทุนเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัท มหาชัยมีเดีย จำกัด โดยชำระเงินเป็นเช็คธนาคารหลายแห่ง แต่ออกในวันเดียวกัน คือ วันที่ 1 กันยายน 2557
อันนำไปสู่ข้อสังเกตสำคัญหลายประการ อาทิ นายสัมฤทธิ์ และหุ้นส่วนธุรกิจ นำเงินจำนวนกว่า 6,500 ล้านบาท จากไหนมาใช้ในการเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทฯ แห่งนี้ , เฉพาะเงินในส่วนของ นายสัมฤทธิ์ จำนวน 2,600 ล้านบาท มีความเกี่ยวข้องกับเงินที่ได้รับอนุมัติจากสกสค. จำนวน 2.1 พันล้านบาทหรือไม่ ?
(อ่านประกอบ : ปริศนาใหม่!"เดอะบิ๊ก"หอบเงิน 2.6พันล.ลงหุ้นบ.อสังหา หลังได้เงินสกสค. 2.1 พันล. , ตีเช็ค4ใบวันเดียว6.5พันล.!เส้นทางเงิน"เดอะบิ๊ก-พวก"ขนเพิ่มทุนบ.อสังหาปริศนา)
ไม่ว่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะเป็นอย่างไร ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มเติมใน 2 ประเด็นหลัก ดังนี้
@ การดำเนินธุรกิจของ บริษัท มหาชัยมีเดีย จำกัด
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า บริษัท มหาชัยมีเดีย จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2553
เดิมที่ใช้ชื่อว่า โปร ไปป์ กรู๊ป จำกัด ช่วงเริ่มต้นจัดตั้งมีทุน 5 ล้านบาท ตั้งอยู่เลขที่ 133 ถนนประเสริฐมนูกิจ แขวงจรเข้บัว เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร แจ้งประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอาคาร ที่พักอาศัย
ปรากฎชื่อผู้ก่อตั้งจำนวน 3 ราย คือ นายภูดิศ ปรีชาเกริกกุล นายนฤนาถ นาดา และนางสาวกัญญ์พิดา แสงไกรวสิฐกุล
โดยนายภูดิศ ถือหุ้นใหญ่สุด จำนวน 49,000 หุ้น มูลค่า 4,900,000 บาท และเป็นกรรมการผู้มีอำนาจ (ดูเอกสารประกอบ)
ต่อมาวันที่ 25 พ.ค 54 บริษัทฯ แจ้งเปลี่ยนตัวกรรมการ นายภูดิศ ลาออก นายเอกภณ ปรีชา เกริกกุล เข้ามาเป็นกรรมการแทน
26 ส.ค 57 บริษัทฯ แจ้งเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท มหาชัย มีเดีย จำกัด
3 ก.ย57 บริษัทฯ แจ้งเพิ่มทุนเป็น 6,500 ล้านบาท โดยเป็นเงินของ นายสัมฤทธิ์ 2,600 ล้านบาท นาย ส.พิเชษฐ์ 1,300 ล้านบาท นายเอกภณ 2,530 ล้านบาท นายจักรฐะพงษ์ 64,999,800 บาท พร้อมเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังแจ้งชื่อของ นายสัมฤทธิ์ และนายส.พิเชษฐ์ เข้ามาเป็นกรรมการเพิ่มเติม และแจ้งเพิ่มวัตถุประสงค์เป็น 39 ข้อ ทำธุรกิจหลายอย่าง อาทิ ขายแร่เหล็ก ที่ปรึกษากอ่สร้าง รับค้ำประกันหนี้สิน ขนส่ง ผลิตรายการโทรทัศน์
จากนั้น ในวันที่ 9ก.ย.57 บริษัทฯ ได้แจ้งเพิ่มอำนาจกรรมการ ในส่วนของนายส.พิเชษฐ์ และนายสัมฤทธิ์ (ดูเอกสารประกอบ)
หลังจากนั้น บริษัทฯ ไม่ได้มีการแจ้งข้อมูลอะไรเพิ่มเติมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ส่วนข้อมูลผลประกอบการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ นั้น จากการตรวจสอบพบว่านับตั้งแต่จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย.53 บริษัทฯ นำส่งงบการเงินแสดงผลประกอบการธุรกิจ ไว้จำนวน 3 ครั้ง คือ
ปี 2553 (นำส่งเมื่อวันที่ 31 พ.ค.54) แจ้งว่ามีรายได้จากดอกเบี้ยรับ 16,000 บาท มีค่าใช้จ่ายในการบริหาร 34,500 บาท ขาดทุนสุทธิ 18,500 บาท
ปี 2554 (นำส่งเมื่อวันที่ 18 ก.ค.56) แจ้งว่ามีรายได้จากดอกเบี้ยรับ 96,000 บาท มีค่าใช้จ่ายในการบริหาร 3,000 บาท กำไรสุทธิ 93,000 บาท
ปี 2555 (นำส่งเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 56) แจ้งว่ามีรายได้จากดอกเบี้ยรับ 96,000 บาท มีค่าใช้จ่ายในการบริหาร 3,000 บาท กำไรสุทธิ 93,000 บาท
ขณะที่งบการเงินในปี 2557 ซึ่งเป็นช่วงที่นายสัมฤทธิ์ และหุ้นส่วนอีก 3 คน นำเงินจำนวน 6,500 ล้านบาท มาเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัท ยังไม่มีการนำส่งให้กรมพัฒนาธุรกิจค้ารับทราบแต่อย่างใด ทั้งที่ ในข้อเท็จจริงต้องถึงกำหนดส่งแล้วตั้งแต่ช่วงก.ค. 57
ข้อสังเกตสำคัญที่ตามมาคือ บริษัทฯ แห่งนี้ มีอะไรเป็นจุดดึงดูสำคัญที่ทำให้ นายสัมฤทธิ์ และหุ้นส่วนอีก 3 คน นำเงินจำนวน 6,500 ล้านบาท ไปเพิ่มทุนจดทะเบียน
ทั้งที่การดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา ไม่มีรายได้จากการประกอบกิจการหลัก และที่สำคัญเมื่อเพิ่มทุนไปแล้ว บริษัทฯ นำเงินจำนวนนี้ไปใช้ทำประโยชน์ในทางธุรกิจอะไร ทำไม่ถึงยังไม่นำส่งงบการเงิน
@ หุ้นส่วนทางธุรกิจของนายสัมฤทธิ์
ข้อมูลส่วนนี้ ขอให้โฟกัสไป ที่ นาย ส.พิเชษฐ์ เป็นหลักก่อน
เพราะจากการตรวจสอบพบว่า นาย ส.พิเชษฐ์ ปรากฎรายชื่อเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท โอ ดับบลิว เอนเนอร์จี จำกัด ซึ่งเป็นชื่อเดิมของบริษัท โอเชี่ยนเวลธ์ แอร์เวย์ส จำกัด ที่เคยปรากฎชื่อ เป็น 1 ใน 28 ลูกหนี้ ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น วงเงินรวมกว่า 1.3 หมื่นโดย บริษัท โอเชี่ยนเวลธ์ แอร์เวย์ส จำกัด ที่ทำสัญญากู้ยืมเงิน จำนวน 720 ล้านบาท เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2553 ซึ่งปัจจุบันใช้หนี้คืนมาแล้วจำนวน 5 แสนบาท เหลือยอดหนี้คงค้างทั้งหมด 719,500,000 บาท
โดย นาย ส.พิเชษฐ์ พรหมรัตน์ เข้าไปปรากฎชื่อเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.57 และแจ้งเพิ่มวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจเพิ่มเติมหลายด้าน อาทิ ประกอบกิจการพลังงานลม ไฟฟ้า และการจัดการระบบน้ำเพื่อการเกษตรกรรมทั่วประเทศ
(อ่านประกอบ : "บ.ขายผ้า"แปลงกายทำธุรกิจการบิน ก่อนกู้เงินส.คลองจั่น 720 ล. เปลี่ยนชื่อ 2 รอบ , เปิดคำให้การเจ้าของ "บ.ขายผ้า" มัด "ศุภชัย" ปลอมลายเซ็นกู้เงิน 720 ล้าน)
ขณะที่นายสัมฤทธิ์ เคยถูกตรวจสอบพบว่า เป็นลูกหนี้เงินกู้ของนายวัฒน์ชานนท์ นวอิสรารักษ์ หนึ่งในตัวละครสำคัญคดียักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำนวนเงินหลายสิบล้าน โดยเงินกู้จำนวนหนึ่งเป็นผลมาจากการทำธุรกิจในการนำเงินจำนวน 400 ล้านบาท ของ นายวัฒน์ชานนท์ มาใส่ไว้ในบัญชีของนายสัมฤทธิ์ เพื่อทำเรื่องกู้ยืมเงินจากธนคารดังกล่าวด้วย
(อ่านประกอบ :ข้อตกลงลับเงินกู้400 ล.มัดสัมพันธ์ลึก"เดอะบิ๊ก"&เครือข่าย"ศุภชัย-ธรรมกาย")
และนั้นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ใครก็ตามที่เห็นข้อมูลนี้ อาจพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เรื่องนี้ ไม่ธรรมดา เพราะ "ตัวละคร" ที่เข้ามาเกี่ยวข้องมีความเชื่อมโยงหลายกรณี