ละลายงบ 2พันล.! ฉบับเต็ม สตง.สอบโครงการประชารัฐสวัสดิการ ยุค คสช. ลดความเหลื่อมล้ำไม่ได้
"...การให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐบางส่วนที่ไม่ใช่ผู้มีรายได้น้อยที่สมควร ได้รับความช่วยเหลือ ทําให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณเกิดความไม่คุ้มค่า คิดเป็นงบประมาณไม่น้อยกว่า 2,021.74 ล้านบาท (เฉพาะในจังหวัดที่สุ่มตรวจสอบ โดยพิจารณาจากฐานข้อมูลที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์) ประชาชนผู้มีรายได้น้อยหรือผู้ที่มีฐานะยากจนที่ควรเป็นกลุ่มเป้าหมายเสียโอกาสในการได้รับความช่วยเหลือ จากสวัสดิการแห่งรัฐตามโครงการ เกิดความคลาดเคลื่อนบิดเบือนกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง หรือมีความ ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบันของข้อมูล และไม่สามารถใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยเพื่อออกแบบ นโยบายและจัดสรรสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐ ทําให้การดําเนินโครงการไม่บรรลุผลสําเร็จตามเจตนารมณ์ ที่แท้จริงได้..."
"การขึ้นทะเบียนเป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พบปัญหาการดำเนินงานเรื่องการตรวจสอบหลักเกณฑ์คุณสมบัติของผู้มีสิทธิลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ยังมีจุดอ่อนหรือ ช่องว่างที่ทำให้ข้อมูลของผู้ผ่านคุณสมบัติเป็นไปอย่างไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน ทำให้เกิดช่องว่างที่คนมีฐานะพอจะช่วยเหลือตัวเองได้หรือไม่ได้เป็นผู้มีรายได้น้อยที่แท้จริงสามารถเข้ารับสิทธิตามโครงการได้ และยังมีกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงบางส่วนยังตกหล่นไม่ได้รับสิทธิการลงทะเบียนหรือไม่ได้เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามโครงการ ขณะที่การดำเนินมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้เช่นกัน"
คือ ข้อมูลเบื้องต้น ในรายงานผลการตรวจสอบการดำเนินงานโครงการประชารัฐสวัสดิการ ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในช่วงรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มศักยภาพให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560 ที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำมาเปิดเผยไปแล้ว
(อ่านประกอบ : สตง.สอบโครงการประชารัฐสวัสดิการ ยุค คสช.พบจุดอ่อนระบบคัดกรอง คนมีฐานะได้รับสิทธิด้วย)
เพื่อให้สาธารณชนรับทราบรายละเอียดผลการตรวจสอบของสตง.มาขึ้น สำนักข่าวอิศรา ขอนำรายงานฉบับเต็มมานำเสนอ ณ ที่นี้
------------------
@ ที่มาโครงการ
รัฐบาลมีนโยบายช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยด้วยการดําเนินโครงการประชารัฐสวัสดิการ มีวัตถุประสงค์ในการลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มศักยภาพให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยมีความเป็นอยู่ดีขึ้น โดยในปี พ.ศ. 2560 กําหนดให้มีการดําเนินโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อจัดเก็บ ฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยนําไปออกแบบนโยบาย และจัดสวัสดิการต่าง ๆ ของภาครัฐให้เหมาะสมต่อไป ต่อมาในปี พ.ศ. 2561 ได้กําหนดให้มีโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม เพื่อเปิดโอกาส ให้กลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้ในปี พ.ศ. 2560 ทั้งนี้ มี จํานวนผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีคุณสมบัติผ่านตามเกณฑ์ที่กําหนดแล้วจํานวนทั้งสิ้น 14,607,495 คน โดยรัฐได้มีการช่วยเหลือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐดังกล่าวตามมาตรการลดค่าครองชีพด้วยการจัดสรร วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่ดําเนินการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม วงเงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วยรถประจําทางของ ขสมก./รถไฟฟ้า/รถ บขส/รถไฟ มาตรการบรรเทาภาระ ค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา มาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายช่วงปลายปี พ.ศ. 2561 การช่วยเหลือค่าใช้จ่าย ในการเดินทางไปรักษาพยาบาล ค่าเช่าบ้านสําหรับผู้สูงอายุ เพิ่มเบี้ยคนพิการ บรรเทาภาระค่าครองชีพ ให้แก่เกษตรกร บรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของพ่อแม่ช่วงเปิดปีการศึกษา และนอกจากการช่วยเหลือ ด้วยการจ่ายวงเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐดังกล่าวแล้ว รัฐยังมีนโยบายการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ตามโครงการเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในปี พ.ศ. 2561 สําหรับกลุ่มเป้าหมาย 11,469,185 คน ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เพื่อจัดทําฐานข้อมูลเชิงลึกรายบุคคล สําหรับออกแบบมาตรการแก้ไขปัญหาความยากจนที่ตรงตามความจําเป็นของแต่ละบุคคล และยกระดับ คุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืนตามเจตนารมณ์ของโครงการต่อไป งบประมาณที่ใช้สําหรับการ ดําเนินงานตามโครงการรวมทั้งสิ้นประมาณ 143,490.56 ล้านบาท
หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบ ได้แก่ สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง และกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง
@ ข้อตรวจพบที่สําคัญ
จากการตรวจสอบการดําเนินงานโครงการประชารัฐสวัสดิการ มีประเด็นข้อตรวจพบที่สําคัญ จํานวน 3 ประเด็น ดังนี้
ข้อตรวจพบที่ 1 การดําเนินโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ยังไม่รัดกุมเหมาะสมได้ฐานข้อมูลกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง และไม่เป็นปัจจุบัน
1.1 หลักเกณฑ์คุณสมบัติของผู้มีสิทธิลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐยังมีจุดอ่อนหรือ ช่องว่างที่ทําให้ข้อมูลของผู้ผ่านคุณสมบัติเป็นไปอย่างไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน ทําให้เกิดช่องว่างที่คนมี ฐานะพอจะช่วยเหลือตัวเองได้หรือไม่ได้เป็นผู้มีรายได้น้อยที่แท้จริงสามารถเข้ารับสิทธิตามโครงการได้
ในขณะที่พบว่ายังมีกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงบางส่วนยังตกหล่นไม่ได้รับสิทธิการลงทะเบียนหรือไม่ได้ เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามโครงการ
1.2 ฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน ไม่เป็นปัจจุบัน โดยพบว่าฐานข้อมูลใน ระบบการจัดสวัสดิการสังคมของรัฐ (ระบบ E-Social Welfare) มีผู้ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มี คุณสมบัติไม่ตรงตามเกณฑ์ที่กําหนดหรือการบันทึกข้อมูลอาจผิดพลาด ส่งผลต่อฐานข้อมูลที่ขาดความ น่าเชื่อถือ ไม่สามารถนําไปใช้ประโยชน์ด้านการบริหารนโยบายได้อย่างถูกต้อง ได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับ ทรัพย์สินทางการเงินหรือการถือครองกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์เกินกว่าเกณฑ์ที่กําหนด ข้อมูล เกี่ยวกับสถานะส่วนบุคคลไม่ถูกต้องและไม่ครบถ้วน ข้อมูลผู้มีรายได้น้อยที่จัดเก็บตามโครงการโดยไม่มี การเชื่อมโยงเพื่อสอบทานกับหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการดูแลช่วยเหลือคนยากจนหรือกลุ่มผู้ด้อยโอกาส และข้อมูลที่จัดเก็บตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐไม่เป็นปัจจุบันเนื่องจากเป็นข้อมูลที่ จัดเก็บของปี พ.ศ. 2559
1.3 กระบวนการรับลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยยังมีจุดอ่อนสําคัญบางประการ ทําให้คุณสมบัติ ของผู้ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐยังไม่เหมาะสม
1.3.1 ข้อมูลการรับลงทะเบียนที่บันทึกเข้าสู่ระบบโดยไม่มีการสอบทาน ตรวจสอบ รับรอง ความถูกต้อง เนื่องจากหน่วยงานที่รับลงทะเบียนไม่มีการสอบทานข้อมูลผู้ลงทะเบียนก่อนการส่งข้อมูล เข้าสู่ระบบเพื่อการตรวจสอบคุณสมบัติผู้มีสิทธิตามโครงการ โดยตามโครงการไม่ได้กําหนดให้มีขั้นตอน การตรวจสอบความครบถ้วนของข้อมูลในแบบฟอร์มการลงทะเบียน และไม่มีข้อกําหนดให้ต้องแสดง หลักฐานยืนยันข้อมูลที่แจ้งตามแบบฟอร์มและไม่มีการตรวจสอบรับรองความถูกต้องของผู้นําชุมชน นอกจากนี้ กรณีประชาชนกรอกข้อมูลการลงทะเบียนด้วยตนเองอาจให้ข้อมูลที่ไม่ตรงความเป็นจริง โดยเจ้าหน้าที่ไม่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้
1.3.2 การปฏิบัติงานตามโครงการเป็นไปอย่างเร่งรีบในแต่ละขั้นตอน โดยหน่วยรับ ลงทะเบียนมีระยะเวลาในการเตรียมความพร้อมเพียง 31 วัน ซึ่งระยะเวลาการดําเนินงานตามโครงการ ที่กระชั้นชิด ทําให้การประชาสัมพันธ์ชี้แจงทําความเข้าใจเกี่ยวกับการกรอกข้อมูล การเตรียมข้อมูล หลักฐาน ขั้นตอนการดําเนินงานต่าง ๆ อาจเกิดความไม่ทั่วถึงและไม่ชัดเจน โดยเฉพาะประชาชน กลุ่มเป้าหมายซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลเป็นผู้ยากจน ประกอบกับการสื่อสารกับผู้นําชุมชนอาจไม่ทั่วถึง ด้วยข้อจํากัดเรื่องระยะเวลา
1.3.3 หน่วยงานที่ร่วมบูรณาการเพื่อตรวจสอบข้อมูลคุณสมบัติผู้ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการ แห่งรัฐ ยังไม่ครอบคลุมข้อมูลทางทรัพย์สินบางรายการที่จําเป็นต้องได้รับการตรวจสอบ เช่น การถือครอง และการทําประโยชน์ในที่ดินซึ่งมีเอกสารสิทธิอื่นที่ไม่ใช่โฉนดที่ดิน การถือครองทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ เช่น ทองคํา ธุรกรรมการเงินอื่นที่ไม่ผ่านระบบธนาคาร เป็นต้น
1.3.4 ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายของโครงการ ยังไม่สามารถดําเนินการอุทธรณ์ ตามสิทธิได้ในกรณีที่ไม่มีชื่อเป็นผู้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กําหนด ด้วยมีข้อจํากัด ในทางปฏิบัติที่ไม่เอื้ออํานวยเข้าถึงกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่แท้จริง ข้อตรวจพบที่ 2 การดําเนินมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้
ข้อตรวจพบที่ 2 การดำเนินมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
2.1 การดําเนินมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่เป็นไปตามแผนและ แนวทางที่กําหนด
2.1.1 ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เข้าร่วมมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการ แห่งรัฐไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ โดยสามารถอบรมพัฒนาให้กับกลุ่มเป้าหมายได้เพียงร้อยละ 38.76 ของจํานวนเป้าหมายตามมาตรการ คือจํานวนเป้าหมาย 8,543,081 คน แต่สามารถอบรมตาม มาตรการพัฒนาฯ ได้เพียง 3,310,564 คน
2.1.2 การดําเนินงานตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่แล้ว เสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กําหนดไว้ และต้องขยายเวลาการดําเนินการรวมถึงขยายเวลาของการ จ่ายเงินให้กับผู้แจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการด้วย การดําเนินงานตามมาตรการพัฒนาฯ กําหนด กรอบระยะเวลาดําเนินการตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 สิ้นสุดเดือนธันวาคม 2561 แต่ปรากฏกว่าการ พัฒนาผู้มีสิทธิเข้าร่วมมาตรการพัฒนาฯ ในระยะที่ 1 ไม่สามารถดําเนินการให้แล้วเสร็จตามกรอบ ระยะเวลาที่ตั้งไว้ โดยมีผู้ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา/อยู่ระหว่างรอการพัฒนาอีกจํานวน 798,633 คน คิดเป็น ร้อยละ 19.26 ของผู้แจ้งความประสงค์เข้ารับการคัดเลือกเมนูในการอบรมพัฒนาทั้งหมด ซึ่งต้องมี การขยายระยะเวลาดําเนินการมาตรการพัฒนาฯ ต่อไปในระยะที่ 2 ถึงสิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2562
หากคํานวณมูลค่าเงินที่รัฐจัดสวัสดิการเพิ่มเติมให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ แสดงความประสงค์จะพัฒนาตนเองไว้แล้วแต่ปรากฏว่าไม่เข้ารับการอบรมตามมาตรการได้ โดยตาม โครงการมีการจ่ายเงินเพิ่มเติม ในช่วงที่จะทําการอบรมพัฒนาตามมาตรการคือเริ่มต้นตั้งแต่เดือน ถัดไปหลังจากเดือนที่แสดงความประสงค์ จนถึงเดือนธันวาคม 2561 และขยายกรอบระยะเวลาการ ดําเนินการและการจ่ายเงินออกไปอีกจนถึงเดือนมิถุนายน 2562 เนื่องจากไม่สามารถดําเนินการอบรม พัฒนาให้แล้วเสร็จตามแผนที่กําหนดไว้ รวมถึงการจัดสวัสดิการให้กับผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของการ อบรมพัฒนาในระยะที่ 2 โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่สามารถดําเนินการเรียกคืนเงินให้เป็นไปตาม เงื่อนไขข้อตกลงที่กําหนดได้ รวมมูลค่าความไม่คุ้มค่าของเงินงบประมาณทั้งสิ้น ประมาณ 3,233.76 ล้านบาท
2.1.3 การติดตามและรายงานผลการดําเนินงานมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตร สวัสดิการแห่งรัฐไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กําหนด การดําเนินงานมาตรการพัฒนาฯ กําหนดให้เจ้าหน้าที่ AO มีหน้าที่ติดตามความคืบหน้าและผลการพัฒนาตนเองของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จํานวน 3 ครั้ง ได้แก่ เดือนกรกฎาคม กันยายน และธันวาคม 2561 จากการสัมภาษณ์ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เข้าร่วมมาตรการพัฒนาฯ จํานวน 336 คน ส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่ายังไม่เคยได้รับการติดตามสอบถาม ผลการพัฒนาการเข้าร่วมมาตรการพัฒนาฯ คิดเป็นร้อยละ 62.50 ของผู้เข้าร่วมมาตรการที่สุ่มตัวอย่าง
2.2 การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตร สวัสดิการแห่งรัฐยังไม่บรรลุผลสําเร็จ
จากการสัมภาษณ์ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้เข้ารับการอบรมพัฒนาอาชีพตาม มาตรการพัฒนาฯ จํานวน 336 คน พบว่า มีผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่ได้นําความรู้จากการอบรมไป ใช้ประโยชน์คิดเป็นร้อยละ 64.88 และมีผู้ที่นําความรู้ที่ได้รับจากการอบรมไปใช้ประโยชน์คิดเป็นร้อยละ 35.12 ของผู้เข้าร่วมมาตรการที่สุ่มตัวอย่าง
ข้อตรวจพบที่ 3 สวัสดิการที่ช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐบางรายการยังไม่เกิดประโยชน์สําหรับกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง
3.1 ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถใช้ประโยชน์สวัสดิการที่กําหนดบางรายการได้น้อยมาก
จากการตรวจสอบข้อมูลผลการใช้จ่ายเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2560 - 2562 (ณ เดือนมิถุนายน 2562) พบว่า มีการเบิกจ่ายเงินผ่านบัตรทั้งสิ้นประมาณ 90,087.57 ล้านบาท หรือคิด เป็นร้อยละ 77.54 ของวงเงินที่รัฐจัดสรรเพื่อช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งนี้หากพิจารณาค่าใช้จ่าย ตามรายการที่ให้ความช่วยเหลือ พบว่าค่าใช้จ่ายสําหรับซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็นมีการเบิกจ่าย สูงสุด คิดเป็นร้อยละ 79.65 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่โอนผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รองลงมาเป็นรายการ ตามมาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในช่วงปลายปีให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คิดเป็นร้อยละ 7.98 รายการตามมาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่เกษตรกร คิดเป็นร้อยละ 4.46 และมาตรการช่วยเหลือ ค่าเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับสุขภาพสําหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย คิดเป็นร้อยละ 3.61 ตามลําดับ
หากวิเคราะห์เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในรายการที่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทุกคนมีสิทธิ์ได้รับ ความช่วยเหลือ แยกตามประเภทสวัสดิการกับยอดวงเงินงบประมาณที่กําหนดแต่ละรายการ พบว่า รายการที่มีการเบิกจ่ายจริงน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับวงเงินที่กําหนด คือ มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้า และค่าน้ําประปา คิดเป็นร้อยละ 1.73 ของวงเงินงบประมาณที่กําหนดไว้ ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องใน ทิศทางเดียวกันกับผลการสัมภาษณ์ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จํานวน 441 คน ที่สุ่มตรวจสอบ พบว่า รายการสวัสดิการที่มีการใช้ประโยชน์น้อยที่สุด คือ มาตรการบรรเทาภาระค่าน้ำประปา คิดเป็นร้อยละ 2.49 ลําดับถัดไปเป็นค่าใช้จ่ายวงเงินค่าโดยสารรถ บขส. วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม วงเงินค่าโดยสาร รถไฟ มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้า คิดเป็น ร้อยละ 3.17 4.08 4.31 และ 7.48 ของจํานวนผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่สุ่มตรวจสอบ ทั้งนี้ด้วยเหตุผลสําคัญคือหลักเกณฑ์ที่กําหนดไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิต และบริบทของคนในพื้นที่ที่ห่างไกล ตามลําดับ
3.2 ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐบางรายไม่รับทราบข้อมูล หรือไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทาง หรือวิธีการใช้สิทธิสวัสดิการที่ช่วยเหลือบางรายการผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่สุ่มตัวอย่าง จํานวน 441 คน ให้ความเห็นเกี่ยวกับการทราบถึง ข้อมูลข่าวสารสวัสดิการที่รัฐช่วยเหลือตามโครงการ ตลอดจนความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ แนวทางการใช้สิทธิสวัสดิการรายการต่าง ๆ ที่กําหนด พบว่าผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐบางคนยังไม่ทราบ หลักเกณฑ์แนวทาง หรือยังไม่ได้รับข้อมูลข่าวสาร เนื่องจากพื้นที่ภูมิลําเนาอยู่ห่างไกลไม่สามารถเข้าถึง ข่าวสารได้ เช่น ชาวเขา หรือคนชนบทบางพื้นที่ ผู้มีฐานะยากจนที่ไม่มีโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต หรือบางคน ไม่มีความรู้ด้านหนังสือ มีปัญหาด้านสุขภาพร่างกาย เป็นต้น
3.3 การจําหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคของร้านธงฟ้าประชารัฐที่เข้าร่วมโครงการด้วยราคาที่ไม่ แตกต่างจากราคาท้องตลาด และอาจไม่สามารถควบคุมรายการที่จําเป็นต่อการครองชีพได้อย่าง แท้จริง
จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการและสังเกตการณ์สินค้าในร้านธงฟ้าประชารัฐที่จําหน่าย ตามโครงการ จํานวน 121 ร้านค้า ใน 8 จังหวัด พบว่าราคาสินค้าและสินค้าอุปโภคบริโภคที่จัดไว้เพื่อ จําหน่ายให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่มีความแตกต่างจากสินค้าที่จําหน่ายในท้องตลาดทั่วไปแต่อย่างใด และพบว่าร้านธงฟ้าฯ ที่เข้าร่วมโครงการส่วนใหญ่ไม่ได้นําสินค้าตามรายการที่กระทรวงพาณิชย์กําหนด มาจําหน่ายคิดเป็นร้อยละ 83.47 และมีเพียงร้อยละ 16.53 ที่นําสินค้าตามที่กระทรวงพาณิชย์กําหนด มาจําหน่าย
@ ผลกระทบ
จากสภาพปัญหาตามประเด็นข้อตรวจพบดังกล่าวทําให้เกิดผลกระทบสําคัญ สรุปดังนี้
1. การให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐบางส่วนที่ไม่ใช่ผู้มีรายได้น้อยที่สมควร ได้รับความช่วยเหลือ ทําให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณเกิดความไม่คุ้มค่า คิดเป็นงบประมาณไม่น้อยกว่า 2,021.74 ล้านบาท (เฉพาะในจังหวัดที่สุ่มตรวจสอบ โดยพิจารณาจากฐานข้อมูลที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์) ประชาชนผู้มีรายได้น้อยหรือผู้ที่มีฐานะยากจนที่ควรเป็นกลุ่มเป้าหมายเสียโอกาสในการได้รับความช่วยเหลือ จากสวัสดิการแห่งรัฐตามโครงการ เกิดความคลาดเคลื่อนบิดเบือนกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง หรือมีความ ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบันของข้อมูล และไม่สามารถใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยเพื่อออกแบบ นโยบายและจัดสรรสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐ ทําให้การดําเนินโครงการไม่บรรลุผลสําเร็จตามเจตนารมณ์ ที่แท้จริงได้
2. การดําเนินมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยเพิ่มวงเงินสําหรับซื้อสินค้า อุปโภคบริโภคให้แก่ผู้แจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการฯ แต่กลุ่มเป้าหมายไม่ได้เข้ารับการอบรมพัฒนา และการอบรมพัฒนาที่ไม่แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2561 ทําให้มีผู้รอการพัฒนาเป็นจํานวนมาก ต้องขยายระยะเวลามาตรการออกไปเป็นระยะที่ 2 (มกราคม - มิถุนายน 2562) อีกทั้งยังมีผู้ที่ไม่อยู่ใน กลุ่มเป้าหมายของการพัฒนาตามมาตรการระยะที่ 2 เป็นจํานวนมาก ทําให้รัฐใช้จ่ายเงินงบประมาณ อย่างไม่คุ้มค่า ไม่น้อยกว่า 3,233.76 ล้านบาท นอกจากนี้รัฐยังไม่สามารถใช้ข้อมูลเชิงลึกรายบุคคล สําหรับการวางแผนช่วยเหลือพัฒนาผู้มีรายได้น้อยให้ตรงกับสภาพความต้องการตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ จึงยังไม่บรรลุผลสําเร็จในการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำของสังคมไทยได้ด้วยการสร้างฐานอาชีพที่มั่นคง และยั่งยืน
3. การให้สวัสดิการช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐบางรายการยังไม่เกิดประโยชน์สําหรับ กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง ทําให้เกิดความเหลื่อมล้ําในสิทธิการเข้าถึงสวัสดิการแห่งรัฐตามโครงการ เช่น ระบบประปา ไฟฟ้า ระบบคมนาคมด้วยรถไฟ รถโดยสาร บขส. เป็นต้น นอกจากนี้สินค้าอุปโภคบริโภค ที่จําหน่ายในร้านธงฟ้าประชารัฐมีราคาที่ไม่แตกต่างจากท้องตลาด ทําให้ไม่สามารถช่วยลดค่าครองชีพ ให้กับกลุ่มเป้าหมายได้ตามเจตนารมณ์ของการจัดสวัสดิการแห่งรัฐได้
@ ข้อเสนอแนะ
เพื่อให้การดําเนินโครงการประชารัฐสวัสดิการสามารถตอบสนองยุทธศาสตร์ด้านการสร้าง โอกาสและความเสมอภาคทางสังคม และเพื่อให้การวางแผนบริหารงบประมาณแผ่นดินเกิดผลสัมฤทธิ์ และมีประสิทธิภาพ สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีข้อเสนอแนะให้ปลัดกระทรวงการคลัง พิจารณา สั่งการหน่วยงานที่รับผิดชอบ ดําเนินการต่อไปนี้
1. ปรับปรุงแก้ไขการกําหนดหลักเกณฑ์คุณสมบัติของผู้มีสิทธิลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้ได้ฐานข้อมูลที่ถูกต้อง ตรงกลุ่มเป้าหมาย และเป็นปัจจุบัน โดยมุ่งเน้นการจัดเก็บข้อมูลเชิงลึก ของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้ได้ฐานข้อมูลที่จะนําไปสู่การกําหนดนโยบายในการให้ความช่วยเหลือกลุ่มคน ยากจนหรือผู้มีรายได้น้อย ผู้ด้อยโอกาส ตามเจตนารมณ์ที่แท้จริง
2. ให้มีการพิจารณาเพิ่มเติมหน่วยงานที่ทําหน้าที่ร่วมบูรณาการตรวจสอบข้อมูลของผู้ลงทะเบียน เพื่อให้ครอบคลุมถึงการตรวจสอบฐานะความเป็นอยู่ตามข้อเท็จจริงมากที่สุด โดยเฉพาะหน่วยงานที่ทํา หน้าที่โดยตรงในการช่วยเหลือดูแลคนจนหรือผู้ด้อยโอกาส ควรให้เข้ามามีบทบาทสําคัญในการสอบทาน คัดกรองข้อมูลประชาชนกลุ่มเป้าหมายของโครงการ
3. กรณีหากต้องมีการจัดให้ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐหรือเพื่อปรับปรุงฐานข้อมูลให้ ถูกต้อง ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน ให้พิจารณากําหนดกระบวนการตรวจสอบ กลั่นกรอง รับรองข้อมูล โดยการมีส่วนร่วมของหน่วยงานด้านปกครองในพื้นที่ ผู้นําชุมชน หรือคณะกรรมการหมู่บ้าน หรือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อให้ได้กลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้องต่อไป
4. จัดทําคู่มือ แนวทาง ขั้นตอนการดําเนินงานตามโครงการตลอดจนหลักเกณฑ์คุณสมบัติ ของประชาชนผู้ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของโครงการให้ชัดเจน โดยเฉพาะเกณฑ์ชี้วัดผู้ยากจน หรือผู้มีรายได้น้อย และการซักซ้อมทําความเข้าใจกับหน่วยงานรับผิดชอบในพื้นที่
5. ให้กําหนดกรอบปฏิทินการปฏิบัติงานแต่ละขั้นตอน โดยคํานึงถึงระยะเวลาและกระบวนการ ในการปฏิบัติที่หน่วยงานปฏิบัติในระดับพื้นที่ต้องดําเนินการ ตลอดจนกําหนดแผนช่วงเวลาที่อาจต้องมี การปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอย่างเป็นระยะต่อเนื่อง
6. ให้หาแนวทางที่เหมาะสมกับประชาชน กรณีหากต้องจัดให้มีการลงทะเบียนและการเปิด โอกาสให้อุทธรณ์สิทธิ เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือผู้ด้อยโอกาส สามารถเข้าถึงกระบวนการดังกล่าวได้
7. ให้มีการปรับปรุงกระบวนการ ขั้นตอน และแผนการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับผู้มีรายได้น้อย โดยทบทวนกําหนดกรอบเวลาการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สามารถปฏิบัติงานได้โดยไม่เกิด ความเร่งรีบ กําหนดแนวทางการปฏิบัติให้ชัดเจน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถถือปฏิบัติตามได้อย่าง มีประสิทธิภาพ
8. วางแผนงานด้านการจัดเก็บข้อมูลเชิงลึกรายบุคคล หรือจัดทําฐานข้อมูลให้มีความถูกต้อง ตรงตามข้อเท็จจริง และมีความเป็นปัจจุบัน โดยต้องกําหนดเป้าหมายการพัฒนาแต่ละกลุ่มให้ชัดเจน ตรงตามสภาพหรือศักยภาพแต่ละบุคคล และคํานึงถึงศักยภาพของหน่วยงานด้านการพัฒนาอาชีพ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณเกิดความคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ เกิดผลสัมฤทธิ์
9. ให้มีการประชาสัมพันธ์สื่อสารทําความเข้าใจกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินงานเพื่อ พัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ให้เกิดความรู้ความเข้าใจในหลักการ แนวทาง วิธีการ ดําเนินงาน ตามบทบาทหน้าที่ที่กําหนดและมุ่งเน้นเป้าหมายความสําเร็จในการช่วยเหลือพัฒนาคุณภาพชีวิต ของประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง
10. ให้มีการติดตามประเมินผล ทบทวนผลการดําเนินงานที่ผ่านมาตามมาตรการพัฒนาฯ เพื่อ นํามากําหนดแผน แนวทางการแก้ไขปัญหาที่เคยเกิดขึ้น และพัฒนาปรับปรุงการดําเนินงานในระยะต่อไป
11. ให้มีการทบทวนประเมินผลการให้ความช่วยเหลือเฉพาะหน้าที่ผ่านมาเพื่อทราบว่า สิทธิประโยชน์สวัสดิการแห่งรัฐที่ผ่านมาว่าแต่ละรายการมีความเหมาะสมสอดคล้องตามความจําเป็น ความต้องการของประชาชนกลุ่มเป้าหมาย หรือประชาชนกลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงสิทธิสวัสดิการ ที่จัดสรรหรือไม่เพียงใด เพื่อหาแนวทางการปรับปรุงแก้ไขให้เกิดความเหมาะสมต่อไป
กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage