สธ.เผยบุคลากรทางการแพทย์ป่วยโควิด-19 อาการดีขึ้น
ไทยมีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนารวม 34 ราย เหลือนอนรพ.19 ราย เข้มคัดกรองผู้เดินทางสิงคโปร์ ฮ่องกง ยังไม่พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค
เว็บไซต์ www.pptvhd36.com รายงานว่าวันที่ 16 ก.พ.2563 นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวสถานการณ์การติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ว่า ขณะนี้ประเทศไทยยังคงมีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 34 ราย รักษาหายดีเพิ่ม 1 ราย เป็นคนไทย รวมเป็น 15 ราย ทำให้เหลือผู้ป่วยนอนใน รพ. 19 ราย โดยผู้ป่วยอาการรุนแรง 2 รายที่สถาบันบำราศนราดูร ทีมแพทย์ให้การรักษาเต็มที่ โดยได้รับความร่วมมือจาก รพ.ศิริราช รพ.จุฬาลงกรณ์ และสถาบันเวชบำบัดวิกฤตแห่งประเทศไทย มาช่วยดูแลผู้ป่วย 2 รายนี้ สำหรับผู้ป่วยรายอื่นๆ มีอาการดี รวมถึงรายล่าสุดคือบุคลากรทางการแพทย์จาก รพ.เอกชน ที่ติดเชื้อ ก็มีอาการน้อยตั้งแต่แรก ถือว่าอาการโดยรวมดี สำหรับสถานการณ์ผู้ป่วยทั่วโลกขณะนี้เข้าใกล้ 7 หมื่นคน เสียชีวิตเกิอบ 2 พัน ประเทศจีนมีผู้ป่วยราว 6.8 หมื่นคน
"ประเทศไทยมีการทำงานอย่างหนักมา 45 วันแล้ว เพื่อชะลอการระบาดในประเทศไทย ประชาชนทั่วไปคงเห็นแล้วว่า เราทำงานประสบความสำเร็จสูงมาก ทั้งที่ประเทศไทยถูกจัดว่าเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด เพราะเป็นจุดศูนย์กลางของคนจีนและภูมิภาคเอเชียด้วยกัน ซึ่งหลายประเทศมีการระบาดเพิ่มขึ้นชัดเจน แต่ประเทศไทยตรึงการระบาดในระดับต่ำอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน สำหรับภาพรวมเราเริ่มเห็นการแพร่ระบาดในชุมชนของหลายประเทศ โดยเฉพาะสิงคโปร์ ฮ่องกง เวียดนาม และญี่ปุ่น ทำให้ประเทศไทยกลับมามีความเสี่ยงจากผู้เดินทางต่างประเทศมากขึ้น หลังจากลดลงไปช่วงหนึ่งจากที่คนจีนเข้าประเทศน้อยลง จึงได้มีการติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของแต่ละประเทศอย่างใกล้ชิด ขณะที่ไทยก็มีการแพร่ระบาดในวงจำกัด ตอนนี้จึงยังต้องเฝ้าระวังในประเทศร่วมกับผู้เดินทางมาจากต่างประเทศอย่างเข้มข้นต่อไป" นพ.ธนรักษ์ กล่าว
นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า ขณะนี้เริ่มมีกาารเฝ้าระวังผู้เดินทางจากสิงคโปร์และฮ่องกงมา 3-4 วันแล้ว ซึ่งมีการคัดกรองผู้เดินทางเข้ามา แต่ก็ยังไม่พบว่ามีรายใดเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค อย่างไรก็ตาม นอกจากด่านอากาศสนามบินต่างๆ แล้ว ก็เข้มข้นผู้เดินทางด่านเรือ ตั้งแต่มีข่าวเรือไดมอนด์ปรินเซส ซึ่งขณะนี้พบการติดเชื้อในกลุ่มผู้เดินทางไป 200 กว่าคนแล้ว ดังนั้น เรือทุกลำที่เข้าสู่ท่าเรือของไทย ทางด่านควบคุมโรคได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบว่าเรือที่จะเข้ามามีไปพื้นที่ระบาดในช่วง 14 วันก่อนเรือมาถึงไทยหรือไม่ และเมื่อมาถึงก็ทำการตรวจคัดกรองเข้มข้น ทั้งขาเข้าและก่อนกลับขึ้นเรือไป เพราะหากมีอาการไข้จะได้สอบสวนควบคุมโรครวดเร็วทันการณ์ ซึ่งเราทำด้วยความระมัดระวังตามมาตรฐานและเต็มที่ เพื่อให้ไทยยังคงอยู่ในสภาวะที่มีจำนวนผู้ป่วยระดับต่ำต่อไป
นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า สำหรับกรณีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 ตอกย้ำ 2 ประเด็นสำคัญ คือ 1.รพ.เป็นสถานที่ผู้ป่วยมารวมตัวกัน หากสถานการณ์คลี่ไปทางมีผู้ป่วยโรคโควิด-19 มากขึ้นและมา รพ.มากขึ้น ก็ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยอื่นๆ ที่ไป รพ.อาจมีความเสี่ยงสูงตามไปด้วย 2.การดำเนินการป้องกันทั้งตัวบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่อื่นๆ และผู้ป่วยอื่นๆ เพื่อไม่ให้แพร่ระบาดในส่วนนี้ ต้องมีแผนการควบคุมโรคติดต่อใน รพ. ซึ่ง สธ.ให้ความสำคัญสูงสุดตั้งแต่เริ่มมีข่าวแพร่ระบาดจากคนไปคน ได้ทำแนวทางปฏิบัติงาน และให้รพ.รัฐและเอกชน มาฟังคำชี้แจงแนวทางปฏิบัติ ซึ่งจะมีการอัปเดตต่อเนื่องเสมอๆ เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ต้องทำตามหลักมาตรฐานการป้องกันตัว เช่น ต้องล้างมือบ่อยๆ ใส่หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ไว้ตลอดเวลาตรวจผู้ป่วยไข้ ไอเจ็บคอ อาการระบบทางเดินหายใจทุกราย ห้ามจับหน้ากากอนามัยขณะใช้งาน ตรวจเสร็จล้างมือ ถอดอนามัยให้ถูกต้อง หลังทิ้งหน้ากากอนามัยต้องล้างมืออีกครั้ง หรืออาจพิจารณาใส่ถุงมือขณะทำงานตามความจำเป็น ซึ่งมั่นใจว่า หากบุคลากรปฏิบัติตามแนวทางจะป้องกันการติดเชื้อในบุคลากรได้ ซึ่งบุคลากรแต่ละระดับก็จะมีแนวทางป้องกันตัวแตกต่างกันไปตามความเสี่ยง อย่างกรณีบุคลากรที่ดูแลผู้ป่วยหนัก 2 ราย ก็ต้องแต่งชุดป้องกันเต็มที่ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังต้องเร่งรัดให้ รพ.คลินิกโรคทางเดินหายใจ ซึ่งวันที่ 17 ก.พ.จะมีการประชุมชี้แจงย้ำเรื่องนี้อีกครั้ง
"โรคทางเดินหายใจทุกชนิดสามารถหยุดได้ มาตรการสำคัญหยุดการแพร่ระบาด อยู่ที่ตัวผู้ป่วยเป็นหลัก สิ่งที่อยากสื่อในสภาวะเช่นนี้ คือ เราเป็นคนไทยประเทศเดียวกัน ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการควบคุมโรคนี้ สธ.เต็มที่ในการทำงาน แต่การควบคุมโรคจะไม่ประสบความสำเร็จถ้าประชาชนไม่ให้ความร่วมมือ ผู้ป่วยมีพลังอำนาจหยุดการแพร่ระบาด ถ้ามีอาการคล้ายไข้หวัด ไข้ เจ็บคอ น้ำมูก มีอาการไอจาม ควรพักอยู่กับบ้าน ถ้ามีอาการรุนแรง จำเป็นต้องออกไปพบแพทย์ก็ต้องสวมน้ากากอนามัย เป็นการป้องกันแพร่โรคจากเราสู่คนอื่น ถ้าผู้ป่วยไม่ป้องกัน คนรับผลกระทบแรกๆ คือ คนใกล้ชิดมากที่สุด เช่น บ้านเดียวกัน เพื่อนที่ทำงาน การป้องกันโรคจากฝั่งผู้ป่วยจึงมีความสำคัญสูงมาก ให้คนไม่ป่วยใช้ชีวิตได้ตามปกติ ส่วนคนไทยแข็งแรงสุขภาพดี ควรหลีกเลี่ยงไปสถานที่แออัด ล้างมือบ่อยๆ หากมีความเสี่ยงสูงให้ใส่หน้ากากอนามัยป้องกันตนเอง โดยคนเสี่ยงสูงตอนนี้ไม่เฉพาะสัมผัสนักท่องเที่ยวจีนเท่านั้น แต่ขยายเป็นใกล้ชิดนักท่องเที่ยวทั้งหมด หากมีอาการไข้ ไอเจ็บคอ ควรเข้าสู่ระบบ" นพ.ธนรักษ์ กล่าว
นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า สำหรับประเด็นเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สามารถอยู่ในสภาวะแวดล้อมได้ยาวนาน ควรแตกตื่นหรือกังวลไหม คำตอบคือไม่ เพราะไม่ว่าเชื้อจะอยู่สิ่งแวดล้อมนานขนาดไหนก็ปฏิบัติตัวเหมือนเดิม เพราะเชื้อที่อยู่ตามพื้นผิวต่างๆ แล้วมือไปจับสัมผัส เชื้อไม่สามารถเข้าได้ทางมือ แต่จะเข้าได้ผ่านการจับใบหน้า ขยี้ตาจมูกปาก วิธีการคือล้างมือบ่อยๆ เวลาไปสัมผัสกับสิ่งอื่น รวมถึงทำความสะอาดพื้นผิวต่างๆ มากขึ้น
เมื่อถามถึงผู้โดยสารและลุกเรือเรือเวสเตอร์ดัมมีเข้ามาในประเทศไทยอีกหรือไม่ นพ.สุวิช ธรรมปาโล ผู้อำนวยการกองด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ กล่าวว่า เรือเวสเตอร์ดัมปล่อยผู้โดยสารลงจากเรือวันที่ 14 ก.พ. ผู้โดยสารที่มาในประเทศไทยยังมาแค่ทางด่านสนามบิน ด่านบกและเรือยังไม่มี ซึ่งวันที่ 14 ก.พ. มีเข้ามา 9 คน เป็นคนต่างประเทศ 8 คน ต่อคเรื่องกลับทางยุโรป อเมริกาไปแล้ว และคนไทย 1 คน ก็พบว่าไม่มีไข้ จะติดตามจนครบ 14 วัน ส่วนวันที่ 15 ก.พ. มีเข้ามาทั้งหมด 35 ราย เป็นคนต่างชาติ 34 ราย ส่วนใหญ่ไปที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งไม่ได้ลงจากเครื่อง ส่วนใหญ่เป้นสัญชาติอเมริกัน อังกฤษ และเยอรมัน ส่วนอีกรายเป็นคนไทย มีการตรวจหาเชื้อให้ผลเป็นลบ จะติดตามจนครบ 14 วันเช่นกัน