ที่ปรึกษาความมั่นคงนายกฯแนะกองทัพคุมอาวุธหนักไม่ให้เข้าถึงง่าย
“ปณิธาน”ชี้เคสปมจ่าคลั่งปืนโหดกราดยิงคน รอตรวจสอบมูลเหตุ คาดเป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่ใช่ปัญหาในเชิงระบบ แนะกองทัพจัดตั้งหน่วยพิเศษเคลื่อนที่เร็วที่ฝึกมาเฉพาะช่วยตำรวจดูแลในเขตเมือง-ที่ตั้งทางทหาร
เว็บไซต์ www.dailynews.co.th รายงานว่า เมื่อวันที่ 10 ก.พ. นายปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคง และประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) มีคำสั่งเป็นหนังสือด่วนไปยังทุกหน่วยทหารที่ขึ้นตรงกับกองทัพบกให้ปฏิบัติตามระเบียบถึงมาตรการป้องกันปัญหาระบบการจัดเก็บคลังอาวุธว่า กองทัพมีคำสั่งให้ปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยของการจัดเก็บยุทธภัณฑ์ และยุทโธปกรณ์แล้ว ซึ่งปกติมีขั้นตอนอยู่แล้วกว่าจะเข้าไปถึงคลังแสง หรืออาวุธเหล่านี้ได้
โดยเฉพาะอาวุธหนักที่กลายเป็นปัญหาในกรณีจ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ผู้บังคับหมู่ปืนเล็ก หมวดรักษาการณ์กองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 แต่กรณีนี้เป็นการรู้จักกัน ซึ่งอาจทำให้เข้าถึงได้ง่าย ทั้งนี้ก็จะต้องกลับไปประมวล และปรับปรุงการเก็บ ซึ่งจะต้องพิจารณาที่เก็บและระบบชั้นการเข้าถึงใหม่ รวมถึงควบคุมยุทโธปกรณ์หนัก ไม่ให้อยู่ในพื้นที่เข้าถึงง่าย
นายปณิธาน กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ในส่วนของเมืองหรือที่ตั้งทางการทหาร หรือหน่วยงานความมั่นคงที่มียุทโธปกรณ์อำนาจร้ายแรงเหล่านี้ อาจจะต้องมีหน่วยพิเศษที่มีความพร้อมในการเคลื่อนที่เร็ว ที่ฝึกมาเป็นพิเศษสามารถสกัดได้ ซึ่งปกติก็มีอยู่ เข้ามาช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ปกติไม่มีขีดความสามารถในการต้านทานอาวุธหนักขนาดนี้ได้ ความรุนแรงของเหตุการณ์ก็อาจจะลดน้อยลง ซึ่งหลายหน่วยงานจะต้องไปถอดบทเรียนและสรุปหามาตรการอย่างรวดเร็ว เพื่อใช้กับหน่วยงานความมั่นคงทั่วประเทศ เพราะการลอกเลียนแบบหรือกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงเป็นประเด็นที่หลายคนเป็นเหมือนกันอยู่
ส่วนกรณีของพฤติกรรมลอกเลียนแบบว่าจะก่อเหตุซ้ำรอยนั้น ต้องดำเนินการทางกฎหมายก่อนกับบุคคลเหล่านี้ แต่ที่ยั่วยุในหลายกรณีเป็นแค่คำพูดหรือสนุกคึกคะนอง แต่ก็มีผลทำให้จะต้องหาทางแก้ปัญหาในระยะสั้นไปก่อนเพิ่มความเข้มงวดในมาตรการทางกฎหมาย ส่วนระยะยาวต้องไปแก้ที่ต้นเหตุผลักดันไม่ให้มีการแพร่กระจายข่าวสารที่รุนแรง หลายประเทศได้ผล เช่น สหรัฐอเมริกา แต่ต้องใช้เวลาหลายปีจึงสามารถลดความรุนแรงได้อย่างช้าๆ ทั้งนี้อยู่ที่ความร่วมมือของสื่อด้วย ทั้งสื่อดั้งเดิมและสื่อสมัยใหม่และสื่อส่วนบุคคล
เมื่อถามว่า กรณีดังกล่าวมีการพุ่งเป้าไปที่ทหารนั้น นายปณิธาน กล่าวว่า ในระยะยาวจะต้องมีการอบรมควบคุมวินัย แล้วดูแลพื้นฐานอื่นๆในเรื่องครอบครัวที่เป็นปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งองค์กรที่มีคนเป็นหลักแสนคน หลายคนก็อาจมีปัญหาในลักษณะนี้ ทั้งทางด้านการเงินและครอบครัว ซึ่งก็เป็นรายเฉพาะที่มีการใช้ความรุนแรงอย่างนึกไม่ถึง ดังนั้นจึงจะต้องไปหาสาเหตุที่แท้จริงให้ได้
เมื่อถามว่า ทหารที่มีอาวุธในมือถึงเวลาแล้วหรือไม่ ที่จะต้องมีจิตวิทยาองค์กรเข้าไปในค่าย นายปณิธาน กล่าวว่า ปกติก็มี แต่ต้องไปดูว่าเขาได้รับการดูแลเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน แต่ปกติทหารจะค่อนข้างระมัดระวังเรื่องเหล่านี้ เพราะกำลังพลจะต้องออกไปรบ ต้องทำงานในเรื่องที่ละเอียดอ่อน จึงต้องดูแลในสภาพจิตใจ เรื่องของสังคมจิตวิทยาค่อนข้างสูง ซึ่งหลังจากนี้จะต้องไปประเมิน และจะต้องลงไปทำงานเชิงรุกมากขึ้น
เมื่อถามถึงการวิพากษ์วิจารณ์ถึงมูลเหตุการก่อเหตุถึงระบบสวัสดิการ รวมถึงการกู้เงินภายในค่ายนั้นจะต้องเข้าไปรื้อระบบโครงสร้างหรือไม่ นายปณิธาน กล่าวว่า ยังไม่ถึงขนาดนั้น กรณีนี้อาจเป็นเรื่องส่วนบุคคล ซึ่งโดยพื้นฐานการให้สวัสดิการของกองทัพค่อนข้างดีเมื่อเปรียบเทียบกับหน่วยราชการอื่น ซึ่งกรณีนี้ก็ต้องรอการสอบสวน คงไม่ใช่ปัญหาในเชิงระบบ.