“ผ้าปักควิลท์” จากเส้นด้ายและปลายเข็ม ศิลปะแห่งการต่อสู้ของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิ
“ผ้าปักควิลท์” นิทรรศการจากเส้นด้ายและปลายเข็ม สู่ศิลปะแห่งการต่อสู้ของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิ #ArtForResistance สื่อแทนภาพการถูกคุกคาม หลังสถิติพบตัวเลขพุ่ง 440 คดี ภาคกลางเยอะสุด
ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ เป็นผู้สร้างคุณูปการในการปกป้องสิทธิ เสรีภาพ ขึ้นพื้นฐานของคนไทย แต่กลายเป็นว่าการลุกขึ้นมาสู้นั้นกลับถูกคุกคาม ฟ้องร้องทางคดี
เห็นได้ชัดว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดการรับรู้ในสังคมน้อยและไร้ซึ่งความตระหนักถึงความสำคัญในสิทธิมนุษยชนของผู้หญิง จึงก่อเกิดเป็นกิจกรรมที่มีชื่อว่า “โครงการผ้าปักควิลท์ จากเส้นด้ายและปลายเข็มสู่ศิลปะแห่งการต่อสู้ของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิ #ArtForResistance” เป็นปีที่สอง เพื่อฉลองครบรอบ 20 ปี ปฏิญญาของสหประชาชาติว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
สำหรับ “กิจกรรมเย็บผ้าปักควิลท์” เป็นชิ้นงานที่บอกเล่าเรื่องราวของชีวิตอุปสรรคและผลกระทบที่พวกเธอต้องพบเจอในการลุกขึ้นมาต่อสู้ พร้อมทั้งฉายภาพให้เห็นข้อเรียกร้องในการแก้ไขปัญหาถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกด้วย ตามข้อเสนอของพวกเธอซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอของคณะกรรมการว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบของสหประชาติ ( คณะกรรมการซีดอ CEDAW)
โดยนิทรรศการจัดแสดงตั้งแต่วันที่ 4-7 กุมภาพันธ์ 2563 ที่โถงหน้าห้องสมุด ชั้น L หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
สถิติพุ่ง ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิถูกกฎหมายคุกคาม 440 ราย
น.ส.ปรานม สมวงศ์ จากองค์กร Protection International ระบุว่า ที่ผ่านมาเป็นที่น่าตกใจว่าสถิติการคุกคามผู้หญิงนักปกป้องสิทธิเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในช่วง 3 ปีแรกหลังรัฐประหาร 2557-2560 มีผู้หญิงนักปกป้องสิทธิจากชุมชนถูกคุกคามด้วยกระบวนการยุติธรรม 179 คน แต่ในปัจจุบันหกปีผ่านไปเพิ่มขึ้นเป็น 440 คน แม้ว่าก่อนหน้านี้ในปี พ.ศ. 2560 คณะกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรี หรือ CEDAW มีข้อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยุติการคุกคามผู้หญิงนักปกป้องสิทธิ ซึ่งแทนที่ตัวเลขจะลดลง ปรากฏว่าสถิติกลับพุ่งสูงขึ้น และพบว่ามีผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯเพียง 25 คนจากทั่วประเทศเท่านั้นที่เข้าถึงกองทุนยุติธรรม
“ระหว่างปี 2557-2562 มีผู้หญิงนักปกป้องสิทธิที่ถูกคุกคามด้วยการดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างน้อย 440 คน แบ่งเป็น ความผิดฐานบุกรุก 83 คน ความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ความผิดฐานหมิ่นประมาท จำนวน 36 คน ความผิดตามพ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ 35 คน คดีขัดคำสั่งคสช.3/2558 ห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปพ่วงด้วยคดีในข้อหายุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฏหมายอาญา ม. 116 จำนวน 22 คน คดีขัดคำสั่งคสช. 3/2558 จำนวน 20 คน การฟ้องร้องความผิดฐานละเมิด ขับไล่และเรียกค่าสินไหมทดแทน 17 คน คดีสร้างสิ่งกีดขวางทางสาธารณะ 12 คน คดีร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น 3 คน ถูกเชื่อมโยงเกี่ยวกับคดียาเสพติด 2 คน
คดีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ จำนวน 8 คน และคดีร่วมกันกระทำด้วยประการใดๆให้ทางสาธารณะประตูน้ำ ทำนบ เขื่อน อยู่ในลักษณะอันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่การจราจร และ คดีบุกรุกสถานที่ราชการอย่างละ 1 คน นอกจากนี้ยังมีคดีขับไล่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ อีกประมาณ 200 คน และเมื่อนำสถิติทั้งหมดมารวมกันเป็นภูมิภาคจะพบว่าผู้หญิงนักปกป้องสิทธิจากกรุงเทพฯและปริมณฑล ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีมากที่สุดถึง 235 คน รองลงมาคือภาคอีสาน 129 คน ภาคเหนือ 44 คน และภาคใต้ 32 คน”
น.ส.ปรานม กล่าวถึงทางออกในเรื่องนี้ด้วยว่า สิ่งแรกจะต้องมีพื้นที่ให้ผู้หญิงเหล่านี้ได้บอกว่าถึงความต้องการ และเมื่อพวกเธอบอกแล้ว ต้องฟังและหาทางออกร่วมกัน รัฐต้องไม่ลงโทษพวกเธอที่ลุกขึ้นมาใช้สิทธิเพื่อเราทุกคน เช่น ต้องยุติการใช้คดีความกลั่นแกล้ง และยุติการคุกคามในทุกรูปแบบเมื่อนักปกป้องสิทธิลุกขึ้นมาใช้สิทธิ ด้วยการยกเลิกคดีทุกคดีที่มีการฟ้องร้องผู้หญิงนักปกป้องสิทธิทุกคน การลงพื้นที่ไปรับฟังผู้หญิงถึงสิ่งที่ต้องการและมีการนำไปปฏิบัติ รวมถึงในพื้นที่ชายแดนใต้ต้องยุติการบังคับตรวจดีเอ็นเอและการควบคุมตัวภายใต้กฎหมายความมั่นคง ซึ่งทำให้ผู้หญิงในสามจังหวัดไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีสันติภาพและปราศจากความกลัวในพื้นที่
หลังเลือกตั้ง ผลพวงใช้อำนาจเกินขอบเขตยังคงอยู่
ด้านนางอังคณา นีละไพจิตร เจ้าของรางวัลแม็กไซไซ 2562 กล่าวถึงสถานการณ์ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิภายใต้ประชาธิปไตยไม่เต็มใบว่า หลังการเลือกตั้งแม้ประเทศไทยจะมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น การใช้เสรีภาพกระทำได้มากขึ้น แต่ผลพวงของการใช้อำนาจเกินขอบเขตของเจ้าหน้าที่รัฐบางฝ่าย และกฎหมายหลายฉบับที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนยังคงอยู่ เช่น ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหลายคนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่า หรือการใช้เสรีภาพในการชุมนุมหรือการแสดงความคิดเห็นยังถูกฟ้องร้องถูกดำเนินคดีในศาล ซึ่งในทุกสถานการณ์ที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ผู้หญิงมักเป็นแกนนำในการปกป้องทรัพยากร สิทธิชุมชน หรือแม้แต่สิทธิเสรีภาพในการมีส่วนร่วมและการแสดงความคิดเห็น เนื่องจากผู้หญิงเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ทำให้ผู้หญิงหลายคนถูกจับ ถูกดำเนินคดี ต้องเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่าย
“แม้รัฐจะมีกองทุนยุติธรรมช่วยเหลือค่าใช้จ่ายบางส่วน แต่การพิจารณาของกองทุนมีความล่าช้า ที่สำคัญกรรมการกองทุนมักเป็นคนในพื้นที่ หรือเจ้าหน้าที่บางฝ่ายที่มักเป็นปฏิปักษ์ต่อนักสิทธิมนุษยชนและแม้ว่ารัฐบาลจะได้ประกาศว่าประเทศไทยมีความเป็นประชาธิปไตย หากแต่การใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกของประชาชนเป็นไปอย่างยากลำบาก โดยเฉพาะกับกลุ่มที่เห็นต่างจากรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐหลายคนในหลายพื้นที่มักมองผู้เห็นต่างด้วยความหวาดระแวง ไม่ไว้วางใจ จนนำไปสู่ความพยายามจำกัดเสรีภาพของบุคคลเหล่านี้ นอกจากนี้ยังพบว่าผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนมักพบการท้าทายในรูปแบบต่าง ๆ กัน โดยเฉพาะมีการใช้เพศเป็นเครื่องมือในการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้หญิง และมีความเปราะบางในความเสี่ยงต่อการคุกคามทางเพศมากขึ้น"
นางอังคณา กล่าวต่อว่า เมื่อเดือนปลายปี 2562 ที่ผ่านมา รัฐบาลได้รับรองแผนปฏิบัติการชาติ เรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน โดยกระทรวงยุติธรรมจะได้ดำเนินมาตรการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และหามาตรการยุติการคุกคามโดยกฎหมาย (judicial harassment) ในการฟ้องร้องเพื่อปิดปาก หรือเพื่อยุติการมีส่วนร่วมสาธารณะของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ต่อมาสนช.ได้ปรับปรุงกฎหมาย มาตรา 161/1 เพื่อให้ศาลสามารถใช้ดุลยพินิจไม่ฟ้องคดีที่จะไม่เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะได้ อย่างไรก็ดี พบว่าที่ผ่านมาศาลยังไม่ได้นำมาตรามาใช้นี้เพื่อป้องกันการฟ้องเพื่อกลั่นแกล้งนักสิทธิมนุษยชน
เรียกร้องรัฐ จัดสรรที่ดินว่างเปล่าให้คนจนเมือง
ขณะที่น.ส.สมบุญ คงคา ประธานเครือข่ายสลัมสี่ภาค กล่าวถึงสถานการณ์ของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิภายใต้สถานการณ์ประชาธิปไตยไม่เต็มใบ ว่าการเรียกร้องสิทธิโดยเฉพาะเรื่องที่อยู่อาศัยถูกมองข้าม แม้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้นกว่าในยุคคสช. ที่การยื่นหนังสือหรือการเรียกร้องสิทธิ์ รวมถึงการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ปัจจุบันหลังการเลือกตั้งสามารถที่จะไปยื่นหนังสือผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ ไม่ต้องหวาดระแวง แตกต่างไปจากสมัยที่ยังมีคสช.ที่ทำอะไรไม่ได้ โดยเครือข่ายที่ทำงานร่วมกันนั้นมีจำนวนเยอะมาก ส่วนใหญ่คือกลุ่มผู้หญิงในทุกช่วงวัยที่มาร่วมกันรณรงค์ในเรื่องที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน สำหรับทางออกในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงคนจนเมืองนั้น เห็นว่าเรื่องที่อยู่อาศัยเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด ดังนั้นเห็นว่ารัฐควรจัดสรรที่ดินว่างเปล่าของรัฐให้กับคนจนเมือง ดีกว่าจะไปจัดสรรให้กับภาคเอกชนหรือภาคธุรกิจ หรือให้คนจนเข้าถึงการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยโดยไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน เช่น สลิปเงินเดือน หรือผู้ค้ำประกัน
หวังตม.เข้าใจบทบาทตาม กม.ใหม่ คุ้มครองมากกว่าปราบปราม
ด้านน.ส.พุทธณี กางกั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชน องค์กร Fortify Rights กล่าวว่า ปัจจุบันมีพ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 เพียงฉบับเดียวที่นำมาใช้บังคับกับผู้ลี้ภัย แต่เนื่องจากผู้ลี้ภัยส่วนหนึ่งไม่มีเอกสารประจำตัวหรือเอกสารการเข้าเมือง และส่วนมากต้องใช้ระยะเวลารอคอยอย่างยาวนานก่อนเดินทางไปประเทศที่สาม เกือบทั้งหมดจึงผิดกฎหมายคนเข้าเมือง ซึ่งปัญหาที่พบคือผู้ลี้ภัยไม่ได้รับสิทธิในการประกอบอาชีพ แต่ต้องเลี้ยงดูครอบครัว ทำให้ต้องแอบไปรับจ้างทำงานในราคาที่ต่ำกว่าทั่วไป ไม่สามารถต่อรองกับนายจ้าง ผู้ลี้ภัย ผู้หญิงมีความเสี่ยงต่อการถูกคุกคามซึ่งจะไม่มีการแจ้งความเอาผิดเพราะตัวเองเป็นผู้ลี้ภัยที่ผิดกฎหมายคนเข้าเมือง และหากมีกรณีสามีถูกจับกักอยู่ในห้องกักสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผู้หญิงก็ต้องรับภาระดูแลลูกตามลำพัง
น.ส.พุทธณี กล่าวถึงจำนวนผู้ลี้ภัยในเมืองว่า ถ้าอ้างอิงตามสถิติของ UNHCR พบว่าจำนวนผู้ลี้ภัยทั้งหมดในเมืองมีประมาณ 5,000 คน ในจำนวนนี้เป็นเพศหญิง และชาย ในสัดส่วนครึ่งต่อครึ่ง เพราะส่วนใหญ่ลี้ภัยมาในรูปแบบของครอบครัว โดยพบว่าชาติที่มีการลี้ภัยในเมืองในประเทศไทยสูงสุดคือปากีสถาน และยังมีชาติอื่นๆ เช่น เวียดนาม โซมาเลีย ซีเรีย รวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ด้วย อย่างไรก็ตามส่วนตัวมองว่าสำหรับผู้ลี้ภัยไม่ว่าประเทศไทยจะอยู่ในระบอบการปกครองแบบใด ก็ดำเนินชีวิต หรือมีสภาพที่ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใดนัก
สำหรับข้อเสนอในการแก้ไขปัญหานั้น ต้องยอมรับว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยเริ่มใส่ใจกลุ่มคนกลุ่มนี้มากขึ้นกว่าในอดีต ล่าสุดมีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการคนเข้าเมืองผิดกฎหมายและผู้ลี้ภัย ตามกฎหมายนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก และมีสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเป็นทีมเลขา ซึ่งถือว่าประเด็นสำคัญ เพราะที่ผ่านมา สตม.ทำหน้าที่ปราบปราม แต่กฎหมายนี้คือการคุ้มครอง ดังนั้นต้องทำให้เจ้าหน้าที่เข้าใจว่ากฎหมายนี้ให้ความคุ้มครองมากกว่าการปราบปรามแบบที่เคยทำมา เชื่อว่ากฎหมายฉบับนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
ขอคำนิยามสถานะ "ผู้หญิงพิการ"ให้ชัดเจนในกม.
น.ส.กัชกร ทวีศรี สมาคมวัฒนธรรมความพิการเชียงใหม่ ตัวแทนผู้หญิงนักปกป้องสิทธิผู้หญิงพิการ กล่าวว่าสถานการณ์ในภาพรวมในมุมมองระดับชาติดูโอเคเพราะมีแผนระดับชาติเกิดขึ้น ซึ่งปัจจุบันเป็นแผนฉบับที่2 ที่มีการเชิญชวนให้ผู้หญิงพิการรวมตัวกันและกลับไปตั้งองค์กรในพื้นที่ของตัวเองในแต่ละจังหวัด พร้อมกับมีตัวชี้วัดโดยใช้จำนวนการจัดตั้งองค์กรทั่วประเทศ แต่ส่วนตัวมองว่าผู้หญิงพิการไม่ได้มีบทบาทหรือมีส่วนร่วมในโครงสร้างเชิงอำนาจเท่าที่ควร นอกจากนี้ผู้หญิงพิการที่เข้ามาจัดตั้งองค์กรในพื้นที่ของตัวเองยังมีวิธีคิดที่ไม่เข้าใจในเรื่องความเสมอภาคทางเพศอย่างแท้จริง เช่น หลายคนเป็นอาสาสมัครในชุมชน พูดแต่เรื่องการป้องกันการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งไม่สอดคล้องในเรื่องของโครงสร้างเชิงอำนาจ ที่จะต้องเป็นผู้ที่มีการแสดงความเห็นหรือการส่งเสียงของความต้องการของตัวเองเพื่อนำไปสู่ประเด็นปัญหา การวางแผน แก้ไขปัญหา
น.ส.กัชกร กล่าวว่า ในส่วนของกฎหมายคนพิการถือเป็นกฎหมายลักษณะกลางๆที่ไม่มีการระบุให้ชัดเจน หรือ เจาะจง ดังนั้นสิ่งที่ไม่ได้ถูกพูดถึงในกฎหมายจะไม่ได้รับการปฏิบัติ รัฐบาลต้องระบุให้ชัดเจนว่าผู้หญิงพิการได้สิทธิ์อะไรบ้าง เพราะบางประเด็นไม่สามารถเขียนในแบบกลางๆได้ ดังนั้นกรอบของโครงสร้างทางสังคมจะต้องเข้ามาช่วยกันผลักดันให้เกิดขึ้นจริงให้ได้ พร้อมกันนี้ยังเสนอแนะว่าหน่วยงานรัฐต้องให้นิยามสถานะของผู้หญิงพิการอย่างชัดเจนมากกว่าที่เป็นอยู่ ไม่ใช่ให้เป็นเพียงไม้ประดับในเวทีเสวนาต่างๆ เพราะไม่ส่งเสริมให้เกิดพลังในการเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่การมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
ห่วงรัฐปฏิบัติการ IO ในพื้นที่ชายแดนใต้
น.ส.อันธิชา แสงชัย ผู้ก่อตั้ง Buku FC กล่าวถึงสถานการณ์ผู้หญิงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีสถานการณ์ความรุนแรงยาวนานถึง 16 ปี ในบางช่วงที่เป็นประชาธิปไตยจะทำการแก้ไขปัญหาในสามจังหวัดเปิดมากกว่า ซึ่ง 6 ปีให้หลังนี้ ปัญหาบางอย่างแก้ไขได้ยากขึ้น โดยเฉพาะทรัพยากรที่ดิน เนื่องจากปัญหาทับซ้อนของการออกมาพูดเรื่องทรัพยากรของชุมชนจะกลายเป็นเรื่องของความมั่นคง และมีการควบคุมที่เข้มข้น เข้มงวด นอกจากนี้ยังมิติอื่นๆ ในเรื่องของเพศ ที่จะมีกรอบวัฒนธรรม ความคิด ความเชื่อ ในพื้นที่ ซึ่งการทำงานของนักสิทธิมนุษยชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะไม่ได้ทำงานอย่างเป็นอิสระ ทั้งจากชุมชน ครอบครัว และภาครัฐ
“โดยเฉพาะภาครัฐที่การทำงานพื้นที่ในบางประเด็น จะนำไปสู่การเชื่อมโยงทางการเมืองมากขึ้นมีการใช้IO เชิงข้อมูลข่าวสารโจมตี นอกจากนี้ผู้หญิงที่ออกมาต่อสู้มีการเยี่ยมเยียนจากฝ่ายความมั่นคงของเจ้าหน้าที่รัฐ กับผู้หญิงที่ทำงานกับการต่อสู้ทางความคิด“ ผู้ก่อตั้งBuku FC
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/