สหราชอาณาจักรออกจากอียูอย่างเป็นทางการ
เว็บไซต์ www.dailynews.co.th อ้างสำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2563 ว่าชาวสหราชอาณาจักรจำนวนมากชุมนุมกันเต็มพื้นที่จัตุรัสรัฐสภา ใกล้กับพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักร ในเขตใจกลางกรุงลอนดอน โดยมีการโบกธงชาติและส่งเสียงโห่ร้อง พร้อมทั้งการจุดพลุ เมื่อนาฬิกาบอกเวลา 23.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของคืนวันศุกร์ ( 06.00 น. วันที่ 1 ก.พ. ตามเวลาในประเทศไทย ) ซึ่งเป็นกำหนดการที่สหราชอาณาจักรสิ้นสุดสมาชิกภาพของสหภาพยุโรป ( อียู ) ที่ยาวนาน 47 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2516 อย่างเป็นทางการ และเป็นประเทศแรกที่ลาออกจากอียู
ขณะที่นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน แถลงหลังจากนั้นเล็กน้อย ว่าเบร็กซิตถือเป็น "จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงและการฟื้นฟู" แม้หนทางข้างหน้าไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่รัฐบาลมั่นใจว่าจะสามารถนำพาบ้านเมืองให้ผ่านพ้นเส้นทางอันขรุขระที่รออยู่ได้ โดยหลังจากนี้สหราชอาณาจักรและอียูเข้าสู่ "ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน" ของการสถาปนาความสัมพันธ์ "รูปแบบใหม่" ที่ต้องมีการเจรจาบรรลุข้อตกลงพื้นฐานทั้งหมด แต่การที่จอห์นสันกำหนดระยะเวลาไว้เพียง 11 เดือน คือภายในวันที่ 31 ธ.ค. นี้ เรียกเสียงวิจารณ์จากอียูมาตลอดว่า "เป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ"
ด้านนายไนเจล ฟาราจ หัวหน้าพรรคเบร็กซิต หนึ่งในแกนนำรณรงค์การถอนตัวออกจากอียูร่วมกับจอห์นสัน จนนำไปสู่ผลการลงประชามติเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2559 ด้วยคะแนนเสียง 52% ต่อ 48% กล่าวว่าเบร็กซิตคือ "การประกาศเอกราช" ของสหราชอาณาจักร ออกจากการอยู่ภายใต้ "การกดขี่" ของคณะผู้บริหารในกรุงบรัสเซลส์ และเชื่อมั่นว่าสหราชอาณาจักร "จะแข็งแกร่งกว่าเดิม" เมื่อไม่ต้อง "อยู่ภายใต้ร่มเงาของคนอื่น"
ในส่วนท่าทีของอียูนั้น ก่อนถึงกำหนดการเพียงไม่กี่ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยงานของสหภาพทุกแห่งในกรุงบรัสเซลส์ทำพิธีเชิญธงชาติสหราชอาณาจักรลงจากยอดเสา เช่นเดียวกับหน่วยงานของสหราอชาณาจักรทุกแห่งบนโลกนำธงสัญลักษณ์อียูออก นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ผู้นำเยอรมนี กล่าวว่าเบร็กซิตจะนำมาซึ่ง "คลื่นลมแห่งความเปลี่ยนแปลง" ภายในสหภาพ ส่วนประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส กล่าวว่า "คือสัญญาณเตือนภัย"
นางอัวร์ซูลา ฟอน แดร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารของอียู อวยพรให้สหราชอาณาจักร "โชคดี" เธอยืนยันว่าอียูต้องการรักษาความสัมพันธ์กับอีกฝ่าย แต่ไม่มีรูปแบบความสัมพันธ์ไหนดีไปกว่า "เป็นการเป็นสมาชิก"