ผู้ป่วย "ไวรัสโคโรนาพันธุ์ใหม่" รายที่ 3 กลับบ้านแล้ว
ผู้ป่วยไวรัสอู่ฮั่นรายที่ 3 จ.นครปฐม หายดี ปลอดเชื้อ กลับบ้านได้แล้ว ส่วนรายที่ 4 ที่สถานบำราศฯ ยังต้องรอผลแล็บให้ปลอดเชื้อก่อน เตรียมจัดประชุมร่วม ก.ท่องเที่ยว ทำความเข้าใจบริษัททัวร์ 27 ม.ค.นี้ รับมือเชื้อไวรัส กรมควบคุมโรค เผยแม้ปิดเมืองอู่ฮั่น แต่ย้ายคัดกรองมาสายการบินตรงจากรอบเมืองอู่ฮั่นแทน เหตุก่อนปิดเมืองยังมีการเดินทางอยู่ ส่วนคนจีนที่มาจากอู่ฮั่นแล้วตกค้างในไทย มีมาตรการชุมชนช่วยเฝ้าดูแล และการคัดกรองใน รพ.หากมีอาการป่วย
เว็บไซต์ mgronline.comรายงานว่า วันที่ 24 ม.ค.2563 นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในไทย ว่า ผู้ป่วยรายแรกและรายที่สองหายดีปลอดเชื้อเดินทางกลับประเทศจีนไปแล้ว ส่วนรายที่ 3 ผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 73 ปี รักษาตัวที่ รพ.นครปฐม ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ (แล็บ) เป็นลบติดต่อกัน 2 วัน แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ ทั้งนี้ สธ.ยังคงเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ใช้มาตรการเฝ้าระวังเข้มข้นสูงสุดเช่นเดิม แม้องค์การอนามัยโลก (WHO) จะยังไม่ประกาศให้เป็นภาวะฉุกเฉินทางด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (PHEIC) ส่วนช่วงเทศกาลตรุษจีน ได้เพิ่มความเข้มข้นการรับมือ โดยเน้นเฝ้าระวังป้องกัน 3 พื้นที่ การคัดกรองท่าอากาศยาน โรงพยาบาล คัดกรองผู้ป่วยที่มีประวัติเสี่ยง กรณีนักท่องเที่ยวหรือผู้ที่เดินทางกลับมาจากพื้นที่เสี่ยงแล้วเกิดอาการเจ็บป่วยภายหลัง และมาตรการในชุมชน ติดตามผู้สัมผัสกับผู้ป่วยหรือผู้ป่วยสงสัยทุกคน ได้ประสานอสม. สมาคมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้ประกอบการโรงแรมให้ช่วยสังเกตตรวจตรา หากพบผู้ป่วยให้เข้ารับการรักษาหรือแจ้งให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โดยได้ให้กรมควบคุมโรค ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดประชุมชี้แจงสร้างความเข้าใจกับผู้ประกอบการบริษัททัวร์วันที่ 27 ม.ค. ที่โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ
ด้านนพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า สำหรับรายที่ 4 ซึ่งอยู่ที่สถาบันบำราศนราดูร ยังรอผลแล็บให้เป็นลบก่อนคือปลอดเชื้อ สำหรับจำนวนผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคมีทั้งสิ้น 53 ราย กลับบ้านกลับประเทศแล้ว 33 คน ยังดูแลอยู่ในสถานพยาบาล 20 ราย แม้จะตรวจยืนยันแล้วไม่พบเชื้อโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แต่ต้องรักษาอาการป่วยให้หายก่อน และตรวจแล็บเพิ่ม ถ้าหายแล้วจึงจะให้กลับบ้านได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะผลตรวจแล็บรอบหลัง ก็มีโอกาสที่จะเจอเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ อย่างไรก็ตาม ประชาชนไม่ต้องกังวล เพราะไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เจอหรือไม่เจอประเด็นคือผู้ป่วยเหล่านี้อยู่ในห้องแยกโรคอยู่แล้ว ดังนั้นขอให้มั่นใจในระบบการควบคุม ป้องกันโรคของไทย ซึ่งทำขั้นสูงเอาไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการประกาศเตือนอีก เป็นแผนเตรียมความพร้อมแผน และซ้อมแผนรับมือทุกปี
เมื่อถามถึงกรณีจีนประกาศปิดเมืองอู่ฮั่น หวงกั่ง และการคมนาคมในเมืองใกล้เคียง เช่น เอ้อโจว เซียนเถา และชื่อปี้ เพื่อควบคุมการระบาดของโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นผลดีกับประเทศไทยในการบริหารจัดการ เพราะความเสี่ยงลดลง แต่ไม่ใช่ว่า เมื่อไม่มีสายการบินตรงจากอู่ฮั่นมายังไทยแล้วเราจะถอนการป้องกัน แต่ได้ย้ายการคัดกรองมายังสายการบินตรงที่มาจากเมืองโดยรอบอู่ฮั่น เช่น กวางโจว เป็นต้น เพราะตอนนี้มีรายงานผู้ป่วยในหลายๆ เมืองของจีน ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นการป่วยที่เกิดขึ้นในเมืองนั้นเอง หรือป่วยหลังไปยังเมืองอู่ฮั่น นอกจากนี้ จะเพิ่มการคัดกรองเข้มข้นที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองอีกชั้น เผื่อกรณีมีการหลุดรอด หากพบคนเสี่ยงต้องประสานเร่งด่วนไปที่ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศเพื่อแยกตัวออกมา
นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า ส่วนคนจีนที่ยังไม่สามารถเดินทางกลับได้ เพราะการประกาศห้ามเดินทาง บางคนอาจจะมีเชื้ออยู่ในระยะฟักตัว แล้วมาแสดงอาการภายหลังได้ เช่น มีไข้ อาจจะมีเล็กน้อยแต่เข้าเกณฑ์ ดังนั้นมาตรการที่สถานพยาบาลและชุมชนต้องทำอย่างเข้มข้น แต่เป็นที่น่าเบาใจว่า ในการตรวจผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยไวรัสอู่ฮั่น พบว่า ไม่มีเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ส่วนที่มีข้อเสนอให้ไทยประกาศยกระดับเป็นโรคติดต่ออันตรายก็มองว่าควร เพื่อให้อำนาจเจ้าพนักงาน แต่ต้องมีการพิจารณาของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติอย่างรอบคอบ
“จากการประเมินสถานการณ์เหมือนการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 แต่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่น่าจะมีความรุนแรงกว่าเล็กน้อย แต่อยู่ในวิสัยที่ควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้กองระบาดวิทยาจัดทำโมเดลโรค เพื่อกำหนดวิธีรับมือจัดทำเป็นแผนเผชิญเหตุตามระยะสถานการณ์โรค รวมถึงแผนสำรองด้วย” นพ.สุวรรณชัย กล่าว
เมื่อถามว่าเหตุใดองค์อนามัยโลกยังไม่ประกาศภาวะฉุกเฉิน นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขนั้นมีหลายมิติ ทั้งร่างกาย สังคม เศรษฐกิจ และอีกหลายอย่าง ซึ่งตัวโรคนี้บ่งชัดว่ามีผู้ป่วยอาการรุนแรง และมีผู้เสียชีวิต จึงไม่แปลกที่ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกระบุว่าแม้ว่าจะไม่ได้ยกระดับเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณะสุขระหว่างประเทศ แต่ภาวะฉุกเฉินนี้ยังอยู่เฉพาะที่จีน และชมว่าจีนมีการดำเนินการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในระดับหนึ่ง อย่างการจำกัดห้ามคนเข้าออกอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศภายใต้กฎอนามัยระหว่างประเทศห้ามไม่ให้เอาเรื่องโรคภัยไข้เจ็บมาเป็นข้ออ้างในการกีดกันการเดินทาง เพราฉะนั้นอย่าลืมว่าการรับมือของไทยตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา เป็นการรับมือภายใต้การไม่มีการจำกัดการเดินทางเลย ถ้าองค์การอนามัยโลกประกาศภาวะฉุกเฉิน ในแง่การแพทย์ยิ่งมีผลดีกับไทย โดยเฉพาะการจำกัดการเดินทาง แต่อีกด้านคือการท่องเที่ยว หากมีการจำกัดการเดินทางจะลดโอกาสและจำนวนคนมาเที่ยวไทย แต่ไม่ได้หมายความว่าหายไป เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมา มีการทดแทนเสมอ เมื่อประเทศนี้ไม่มา ประเทศอื่นก็มา