‘สี จิ้นผิง’ เยือนเมียนมาดัน ‘บีอาร์ไอ’ ค้ำจุนรัฐบาล 'อองซาน ซูจี'
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เยือนเมียนมาอย่างเป็นทางการ หวังช่วยค้ำจุนรัฐบาลอองซาน ซูจี ที่กำลังมีปัญหา และผลักดันข้อตกลงโครงสร้างพื้นฐานมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
เว็บไซด์ www.bangkokbiznews.com รายงานอ้างสื่อต่างประเทศ โดยระบุว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ได้เดินทางถึงกรุงเนปิดอว์ ในโอกาสเยือนเมียนมาอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวานนี้ (17 ม.ค.) โดยทางหลวงกว้างใหญ่ และสนามหญ้าในเมืองหลวงของเมียนมาที่ได้รับการดูแลอย่างดี อีกทั้งยังถูกตกแต่งงดงามด้วยป้ายสีแดง พร้อมภาพใบหน้าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่บรรยายด้วยข้อความต้อนรับทั้งภาษาพม่า และจีนกลาง
การเยือนเมียนมาครั้งนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีกำหนดลงนามข้อตกลงโครงสร้างพื้นฐานหลายฉบับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสายแถบและเส้นทาง (China's Belt and Road Initiative หรือ บีอาร์ไอ) และเป็นแผนการค้าระดับโลกที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของเมียนมาไปเลย
ในขณะที่หัวใจสำคัญของโครงการ 'แผนระเบียงเศรษฐกิจจีน-เมียนมา' (EMEC) คือ ท่าเรือน้ำลึกมูลค่า 1,300 ล้านดอลลาร์ ในเมืองจ็อกผิ่ว ตอนกลางรัฐยะไข่ ที่เปิดประตูเชื่อมจีนสู่มหาสมุทรอินเดียนั้น จะใช้รถไฟความเร็วสูงเชื่อมโยงจากท่าเรือเข้าสู่นิคมอุตสาหกรรมในบริเวณชายแดนจีน
สำหรับเมียนมา แม้จีนเป็นสายชูชีพทางเศรษฐกิจ แต่ก็ประเทศที่เมียนมาต้องระแวดระวังว่า อิทธิพลของประเทศเพื่อนบ้านมหาอำนาจรายนี้ กำลังเพิ่มขึ้นทุกวัน
ในปี 2562 จีนและเมียนมาค้าขายกันคิดเป็นมูลค่า 1.68 หมื่นล้านดอลลาร์ และจีนยังเป็นเจ้าหนี้ต่างประเทศรายใหญ่สุดราว 4,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 40% ของหนี้ต่างประเทศเมียนมา ขณะที่ในแต่ละปีก๊าซธรรมชาติหลายพันล้านลูกบาศก์เมตรและน้ำมันหลายล้านบาร์เรลที่ขุดได้นอกชายฝั่งเมียนมา ถูกส่งข้ามจากเมียนมาไปยังจีน
ในส่วนของกำหนดการเยือนเมียนมาของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นั้น หลังจากพิธีต้อนรับและงานเลี้ยงอาหารค่ำเมื่อวันวานแล้ว ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะแยกหารือกับอองซาน ซูจี และมิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการกองทัพเมียนมาในวันนี้ (18 ม.ค.) โดยก่อนที่ประธานาธิบดีสีเดินทางมาถึง อองซาน ซูจี ได้เดินทางไปรัฐกะฉิ่นชายแดนจีนที่เธอไม่ค่อยไปบ่อยนัก
ทั้งนี้ กะฉิ่นเป็นรัฐที่ตั้งโครงการเขื่อนพลังน้ำ “มิตโสน” ขนาด 6,000 เมกะวัตต์ มูลค่า 3,600 ล้านดอลลาร์ที่จีนสนับสนุน แต่ถูกวิจารณ์รุนแรงจากประชาชนทั่วประเทศ จนต้องพับแผนไปในปี 2554 เรื่องนี้ถูกมองว่า เป็นการหักหน้าสี เพราะเขาเป็นคนลงนามโครงการเขื่อนมิตโสนกับรัฐบาลทหารเมียนมาในฐานะรองประธานาธิบดีจีน เมื่อปี 2552 งานนี้คาดว่านักเคลื่อนไหวจะรวมตัวประท้วงที่นครย่างกุ้งไม่ให้รัฐบาลรื้อฟื้นโครงการ
นอกเหนือจากผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจแล้ว การที่เมียนมามีความสัมพันธ์กับมหาอำนาจก็เอื้อประโยชน์ด้านอื่นให้ด้วย โดยสัปดาห์นี้ สื่อของรัฐเสนอบทความหน้าตรงข้ามบทบรรณาธิการ ระบุ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวว่า จีนสนับสนุนให้เมียนมาปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรม รวมถึงเกียรติภูมิแห่งชาติ และเรื่องนี้เห็นชัดในสหประชาชาติ โดยจีนช่วยปกป้องเมียนมา ที่ถูกกดดันหนักให้รับผิดชอบวิกฤติโรฮิงญา
ขณะที่ในเดือนก่อน อองซาน ซูจี นำทีมเมียนมาสู้ข้อกล่าวหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศของยูเอ็น กรณีทหารปราบปรามประชาชนในรัฐยะไข่ปี 2560 บีบให้ประชาชน 740,000 คนต้องหนีตายเข้าไปในบังกลาเทศ แม้เมียนมาประกาศว่า รัฐยะไข่เปิดกว้างสำหรับภาคธุรกิจ แต่นักลงทุนตะวันตกก็ไม่เข้ามา ส่วนจีนที่แข่งกับยักษ์ใหญ่เอเชียรายอื่นๆ ก็เข้ามาเพียงไม่กี่ราย
สำหรับ อองซาน ซูจี แล้ว เธอต้องการทั้งชัยชนะด้านเศรษฐกิจและการสนับสนุนทางการทูต เพราะต้องลงสนามเลือกตั้งอีกครั้งสิ้นปีนี้ แต่ชาวบ้านยะไข่ยังกลัวว่า พวกเขาจะถูกละเลยตัวอย่างจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่จีนหนุนหลังชุดก่อนๆ ทำให้ชาวบ้านไร้ที่ดินทำกิน การดำเนินชีวิตได้รับผลกระทบ
“พวกเขาไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้เราเลย แม้แต่งานก็ไม่มีให้ทำ” โม โม อายจากกลุ่มจับตาเขตเศรษฐกิจพิเศษจ็อกผิ่ว โอดครวญกับสำนักข่าวเอเอฟพี
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/