เพื่อไทยขู่ซักฟอก'สุริยะ'เลื่อนแบน 3 สารเคมีอันตราย
เว็บไซต์ www.thaipost.net รายงานว่า ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช คณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการที่คณะกรรมการวัตถุอันตราย ได้มีมติเมื่อวันที่ 27 พ.ย.2562 ออกประกาศกำหนดให้พาราควอต และคลอร์ไพริฟอสเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 โดยกำหนดระยะเวลาบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.2563 โดยเลื่อนจากมติเดิมไปอีก 6 เดือน และจำกัดการใช้ไกลโฟเซต ตามมติคณะกรรมการวัตถุอันตราย เมื่อวันที่ 23 พ.ค.2561 ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก เพราะประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ดีใจได้ไม่กี่วัน หลังจากที่คณะกรรมการวัตถุอันตราย มีมติในวันที่ 22 ต.ค.2562 ประกาศยกเลิกการใช้สารพิษทั้ง 3 ตั้งแต่ วันที่ 1 ธ.ค.2562 จึงก่อให้เกิดเสียงเรียกร้องจำนวนมากจากสังคม เนื่องจากสงสัยในพฤติกรรมและการกระทำของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และประธานคณะกรรมการวัตถุอันตราย จากผลการศึกษาทั้งในและต่างประเทศสรุปว่า ไกลโฟเสต มีผลเสียต่อสุขภาพ และไม่สามารถจะจัดการในเรื่องความเสี่ยงที่มีต่อผู้บริโภค ตลอดจนพบสารปนเปื้อนทั้งในสิ่งแวดล้อม ผัก ผลไม้ และน้ำนมแม่
และเมื่อวันที่ 28 พ.ย.2562 รศ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ นายกสภาเภสัชกรรม ในฐานะประธานผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารและผลิตภัณฑ์สุขภาพ หนึ่งในคณะกรรมการวัตถุอันตราย ได้ประกาศลาออกจากคณะกรรมการวัตถุอันตราย เพราะว่าการลงมติไม่ได้มีขึ้นอย่างชัดเจน ว่าผู้ใดเห็นด้วยหรือไม่ แต่กลับกลายเป็นภาวะจำยอมในการรับมติ ดังนั้นจึงไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็น มติเอกฉันท์ และใน ส่วนกรมวิชาการเกษตร เองก็ข้ามขั้นตอน ไม่ได้ผ่านตามระเบียบที่ต้องเสนอเรื่องต่อ น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่กำกับดูแลแต่กลับมีหนังสือส่งตรงถึงที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย ซึ่งเป็นเรื่องที่สังคมสงสัย และอดคิดไม่ได้ว่า เพราะเหตุใดถึงเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น
ดังนั้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ ประชาชนคนไทยจำนวนมากจึงอยากให้อภิปราย ตรวจสอบ นายสุริยะ ว่ามีการเอื้อประโยชน์ต่อพรรคพวกหรือมีการบริหารราชการที่ผิดพลาดหรือไม่ ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยมีข้อมูลพร้อมที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจ เชื่อมั่นว่า ส.ส.ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลจะให้การสนับสนุนในเรื่องนี้ เนื่องจากเกี่ยวข้องโดยตรงกับปัญหาสุขภาพของประชาชนคนไทยทุกคน ส.ส.เป็นผู้มีเกียรติ และศักดิ์ศรี จึงไม่เป็นการบังควรที่จะรับฟังคำสั่งจากใคร และควรตั้งมั่นเห็นผลประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมเป็นสำคัญ