ไขปมโต๊ะจีน ‘พปชร’ หนุน ‘คิงเพาเวอร์’ กวาดสัมปทานดิวตี้ฟรี 6 สนามบินจริงหรือ ?
1 ใน 5 ตระกูลใหญ่ ที่สื่อต่างชาติรายนี้กล่าวถึงก็คือกลุ่ม ‘คิงเพาเวอร์’ ซึ่งผูกขาดสัมปทานสิทธิการประกอบกิจการให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) ในสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินอีกหลายแห่ง แต่เพียงรายเดียว เป็นเวลาถึง 10 ปี
ผ่านมาแล้ว 1 ปีเศษ หลังการจัด ‘โต๊ะจีน’ ระดมทุนหาเงินเข้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แม้ว่าต่อมาคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีมติยกคำร้องกรณีดังกล่าวว่า ไม่เข้าข่ายแสวงหากำไรมาแบ่งปันกัน และไม่พบว่ามีการบริจาคของต่างชาติ จึงไม่เข้าข่ายความผิด ‘ยุบพรรค’
แต่ทว่าประเด็นโต๊ะจีนพปชร.ยังคงได้สนใจจากสื่อต่างชาติอย่าง “AsiaTime” สื่อดังของฮ่องกง ซึ่งล่าสุดได้เผยแพร่บทความเรื่อง ‘Thailand’s ‘five families’ prop and imperil Prayut’ ตีแผ่ 5 ตระกูลใหญ่ของไทย ที่บริจาคเงินให้ พปชร.ในงานเลี้ยงโต๊ะจีน ต่างก็ได้สัมปทานใหม่ๆของรัฐในเวลาต่อมา (อ้างอิงจาก https://www.asiatimes.com/2019/12/article/thailands-five-families-prop-and-imperil-prayut/)
1 ใน 5 ตระกูลใหญ่ ที่สื่อต่างชาติรายนี้กล่าวถึงก็คือกลุ่ม ‘คิงเพาเวอร์’ ซึ่งผูกขาดสัมปทานสิทธิการประกอบกิจการให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) ในสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินอีกหลายแห่ง แต่เพียงรายเดียว เป็นเวลาถึง 10 ปี
หากย้อนกลับไปในงานเลี้ยงโต๊ะจีนของพปชร. เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2561 ปรากฏข้อมูลว่า กลุ่มคิงเพาเวอร์ จ่ายเงินซื้อโต๊ะจีนเป็นเงินทั้งสิ้น 24 ล้านบาท จากเงินระดมทุนที่ได้ทั้งหมด 622 ล้านบาท (ต่อมายอดเงินบริจาคลดเหลือ 352 ล้านบาท) ผ่าน 3 บริษัท ได้แก่
บริษัท คิงเพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด จำนวน 9 ล้านบาท
บริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด จำนวน 9 ล้านบาท
บริษัท คิงเพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จำนวน 6 ล้านบาท
เพียง 6 เดือนหลังจากนั้น บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จํากัด ชนะการประมูลงานให้สิทธิประกอบกิจการจําหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และงานให้สิทธิประกอบกิจการจําหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่
ส่วน บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จํากัด ชนะการประมูลงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ทั้งนี้ กลุ่มคิงเพาเวอร์ เสนอผลตอบแทนขั้นต่ำรายปี (Minimum Guarantee) ปีแรกเป็นเงินรวม 23,548 ล้านบาท ให้กับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. ก่อนจะคว้าสัมปทานอายุ 10 ปี 6 เดือน (ก.ย.2563- มี.ค.2574) มาครอบครองแต่เพียงรายเดียว
โดยเอาชนะคู่แข่งอย่าง ‘ขาดลอย’ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเซ็นทรัล ,กิจการร่วมค้าการบินกรุงเทพ ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี ยักษ์ใหญ่ดิวตี้ฟรีอันดับ 2 ของโลกจากเกาหลีใต้ และบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ของ ‘หมอเสริฐ’ หรือ นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เป็นต้น
ขณะที่ก่อนหน้านี้ คือ ในเดือน พ.ย.2561 บริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ชนะประมูลงานให้สิทธิประกอบกิจการโครงการร้านค้าปลอดอากร (duty free) ในอาคารที่พักผู้โดยสารหลังที่ 2 ท่าอากาศยานอู่ตะเภา ของกองทัพเรือ อายุสัมปทาน 10 ปี (2562-2571) โดยเสนอผลตอบแทนขั้นต่ำปีแรก 233 ล้านบาท และจ่ายส่วนแบ่งรายได้จากกาขายอีก 15% ของยอดขายทั้งหมด
(พล.ร.ท.ลือชัย ศรีเอี่ยมกูล ผู้อำนวยการการท่าอากาศยานอู่ตะเภา กับ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด โดยนายฟูศักดิ์ ธรรมสุเมธ ผู้อำนวยการส่วนงานรัฐกิจสัมพันธ์และรักษาความปลอดภัย ได้ลงนามในสัญญาให้สิทธิประกอบกิจการโครงการร้านค้าปลอดอากร (duty free) ในอาคารที่พักผู้โดยสารหลังที่ 2 สนามบินอู่ตะเภา 2 ก.ค.2562)
ล่าสุดในการเปิดประมูลงานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง เมื่อเดือนธ.ค.2562 บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ซึ่งยื่นซองรายเดียว โดยเสนอจ่ายผลตอบแทนปีแรก 1,500 ล้านบาท และกลายเป็นเจ้าของสัมปทานอายุ 10 ปี 6 เดือน (ต.ค.2565-มี.ค.2576) ในเวลาต่อมา รอเพียงแค่การลงนามในสัญญาเท่านั้น
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2562 พบว่า บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2539 ทุนปัจจุบัน 200 ล้านบาท แจ้งประกอบธุรกิจ จำหน่ายสินค้าปลอดอากรให้บริการจุดส่งมอบสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานนานาชาติ ปรากฏชื่อ นายสุวรรณ ปัญญาภาส นางเอมอร ศรีวัฒนประภา นายสมบัตร เดชาพานิชกุล นายจุลจิตต์ บุณยเกตุ นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา นางสาววรมาศ ศรีวัฒนประภา และนายอภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา เป็นกรรมการ
แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2561 มีรายได้รวม 37,884,157,893 บาท (ราว 3.7 หมื่นล้านบาท) รายจ่ายรวม 35,418,299,946 บาท เสียภาษีเงินได้ 462,128,584 บาท กำไรสุทธิ 1,914,873,623 บาท (ราว 1.9 พันล้านบาท)
ย้อนไปปี 2560 มีรายได้รวม 35,633,729,034 บาท (ราว 3.5 หมื่นล้านบาท) รายจ่ายรวม 33,217,607,180 บาท เสียภาษีเงินได้ 511,203,237 บาท กำไรสุทธิ 1,838,120,075 บาท ปี 2559 มีรายได้รวม 32,680,151,173 บาท (ราว 3.2 หมื่นล้านบาท) มีรายจ่ายรวม 30,558,617,630 บาท เสียภาษีเงินได้ 409,218,360 บาท กำไรสุทธิ 1,636,937,810 บาท
ส่วนบริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2548 ทุนปัจจุบัน 100 ล้านบาท แจ้งประกอบธุรกิจ บริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ ปรากฏชื่อ นางเอมอร ศรีวัฒนประภา นายจุลจิตต์ บุณยเกตุ นายสุวรรณ ปัญญาภาส นายสมบัตร เดชาพานิชกุล นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา นางสาววรมาศ ศรีวัฒนประภา และนายอภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา เป็ํนกรรมการ
แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2561 มีรายได้รวม 6,044,768,267 บาท (ราว 6 พันล้านบาท) มีรายจ่ายรวม 3,423,430,044 บาท เสียภาษีเงินได้ 574,174,664 บาท กำไรสุทธิ 2,035,628,792 บาท
ย้อนไปปี 2560 มีรายได้รวม 5,324,105,976 บาท มีรายจ่ายรวม 3,065,491,832 บาท เสียภาษีเงินได้ 482,772,836 บาท กำไรสุทธิ 1,764,802,470 บาท ปี 2559 มีรายได้รวม 4,554,911,244 บาท มีรายจ่ายรวม 2,640,316,185 บาท เสียภาษีเงินได้ 388,257,604 บาท กำไรสุทธิ 1,515,638,914 บาท
ขณะที่บริษัท คิงเพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2538 ทุนปัจจุบัน 200 ล้านบาท แจ้งประกอบธุรกิจ ร้านค้าขายปลีกและร้านค้าปลอดภาษีอากรบริการจัดการ ปรากฏชื่อ นายสมบัตร เดชาพานิชกุล นายสุวรรณ ปัญญาภาส นางเอมอร ศรีวัฒนประภา นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา นางสาววรมาศ ศรีวัฒนประภา และนายอภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา เป็นกรรมการ
แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2561 มีรายได้รวม 60,480,036,322 บาท (ราว 6 หมื่นล้านบาท) มีรายจ่ายรวม 56,730,844,582 บาท เสียภาษีเงินได้ 460,884,461 บาท กำไรสุทธิ 2,104,669,853 บาท
ย้อนไปปี 2560 มีรายได้รวม 56,151,747,352 บาท มีรายจ่ายรวม 50,657,350,265 บาท เสียภาษีเงินได้ 674,862,940 บาท กำไรสุทธิ 3,944,996,923 บาท ปี 2559 มีรายได้รวม 50,884,743,624 บาท มีรายจ่ายรวม 44,270,830,410 บาท เสียภาษีเงินได้ 601,095,347 บาท กำไรสุทธิ 5,292,542,067 บาท
หากนับเฉพาะในปี 2561 ทั้ง 3 บริษัทมีรายได้รวมกันทั้งสิ้น 104,408,962,482 บาท (ราว 1 แสนล้านบาท) กำไรสุทธิรวม 6,055,172,268 บาท (ราว 6 พันล้านบาท)
นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org กรณีสื่อต่างชาติวิจารณ์ว่ากลุ่มคิงเพาเวอร์ได้สัมปทานดิวตี้ฟรี เพราะเป็นการต่างตอบแทนจากการบริจาคเงินให้พรรคพปชร. ว่า “สิ่งที่สื่อต่างชาติเอามาเขียน เพราะไปรับจ้างใครมาหรือเปล่าก็ไม่รู้”
นายประสงค์ กล่าวต่อว่า ในตอนที่มีการเปิดประมูลดิวตี้ฟรีที่สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินอีก 3 แห่ง ตอนนั้นยังเลือกตั้งไม่เสร็จ และยังไม่รู้ว่าใครเป็นรัฐบาลเลย นอกจากนี้ หากไปดูในรายละเอียดการเสนอราคาประมูลจะพบว่าเอกชนที่ชนะเสนอค่าตอบแทนให้ทอท.มากกว่าเอกชนรายอื่นเป็นเท่าตัว
“ถ้าคุณเป็นผม ผมจะให้ใคร ก็ต้องให้สัมปทานกับคนที่เสนอราคาสูงกว่า อย่าให้เป็นประเด็นเลย ข้อเท็จจริงมันก็เต็มตาอยู่แล้ว คนหนึ่งให้ 100 บาท อีกคนหนึ่งให้ 200 บาท จะให้คนที่เสนอ 100 บาท ได้หรือเปล่าล่ะ ทุกอย่างประมูลด้วยความโปร่งใส และการประมูลงานนี้มีการร้องเรียนมากขนาดนี้ ใครจะทำไม่โปร่งใส ถ้าใครที่มานั่งตรงนี้ ถามว่าใครจะกล้าเอาอนาคตมาเสี่ยงหรือเปล่า” นายประสงค์กล่าว
นายประสงค์ กล่าวด้วยว่า บริษัทเอกชนที่เข้ามาประมูลดิวตี้ฟรีนั้น ล้วน “มีเส้น” ทั้งนั้น และบางบริษัทก็บริจาคเงินให้พรรคพปชร.เช่นกัน และถามว่าวันนี้พรรคการเมืองใดดูแลกระทรวงคมนาคมและทอท.อยู่ คำตอบ คือ ไม่ใช่พรรคพปชร. ดังนั้น เงินบริจาคให้พรรคพปชร.จึงไม่เกี่ยวกับการประมูลดิวตี้ฟรีเลย
ด้านนายวรวุฒิ อุ่นใจ นายกสมาคมค้าปลีกไทย กล่าวกับสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org กรณีที่กลุ่มคิงเพาเวอร์ชนะประมูลสัมปทานดิวตี้ฟรี 6 สนามบิน ว่า “มันก็เป็นเช่นนั้นอย่างที่เคยเป็นมาก่อน เพียงแต่เอากรอบการประมูลมาครอบไว้ว่า ประมูลแล้วเท่านั้นเอง แต่โดยเนื้อผ้าข้างใน มันก็คืนการผูกขาด”
นายวรวุฒิ อธิบายว่า สิ่งที่สมาคมฯเคยเสนอไปยังภาครัฐ คือ อยากให้การประมูลดิวตี้ฟรีเป็นแบบแยกเป็นรายการสินค้า เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาด และในหลายประเทศก็เปิดให้มีผู้ประกอบการดิวตี้ฟรีหลายราย ซึ่งจะทำให้เกิดความโปร่งใสในการตรวจสอบและควบคุมกันเอง อีกทั้งยังทำให้นักท่องเที่ยวมีทางเลือกในการซื้อสินค้าที่หลากหลายและครบทุกแบรนด์
เมื่อถามว่า กลุ่มคิงเพาเวอร์เสนอราคาประมูลสูงกว่าคู่แข่งมาก จึงทำให้เป็นผู้ชนะการประมูล ไม่ใช่ชนะเพราะผูกขาด นายวรวุฒิ กล่าวว่า หากการประมูลอยู่ในกรอบกติกาที่ยุติธรรม คือ มีการให้ข้อมูลให้กับผู้ประมูลรายอื่นๆครบถ้วน เพื่อให้เสนอราคาได้ทัดเทียมกับรายเก่า ก็พูดอย่างนั้นได้
แต่ในทางปฏิบัติ ทอท.ไม่มีข้อมูลให้ผู้เข้าร่วมประมูลรายอื่นเลย ทำให้ผู้ประมูลรายอื่นๆเหมือนคนตาบอด ไปงมตัวเลขกันเอาเอง ต่างจากการเปิดประมูลดิวตี้ฟรีในหลายประเทศ ซึ่งจะมีการให้ข้อมูลกับผู้ประมูลทุกราย เช่น ยอดขายรายสินค้า ยอดขายต่อนักท่องเที่ยว เป็นต้น
“ทอท.ไม่มีข้อมูลหรือรายละเอียดใดๆให้กับผู้ประมูลรายอื่นเลย ไม่ว่าจะเป็นยอดขายตามประเภทสินค้า และยอดขายต่อนักท่องเที่ยว ทำให้ไม่มีใครกล้าใส่ราคา แต่รายเก่า ซึ่งมีข้อมูลทุกอย่าง เขาจึงได้เปรียบคู่แข่ง คนที่ทำมาแล้ว 10 ปีกับคนที่ไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย ถามว่าใครจะกล้าให้ราคา” นายวรวุฒิระบุ
เมื่อถามว่า สื่อต่างชาติตั้งข้อสังเกตว่าเหตุผลหนึ่งที่คิงเพาเวอร์ชนะประมูลดิวตี้ฟรี ส่วนหนึ่งเป็นเงินที่บริจาคให้พปชร.นั้น นายวรวุฒิ กล่าวสั้นว่า “โนคอมเม้นต์ และไม่ทราบ”
นายวรวุฒิ กล่าวถึงการเปิดประมูลงานให้สิทธิประกอบกิจการให้บริการเคาน์เตอร์ส่งมอบสินค้าปลอดอากร (Duty Free Pick-up Counter) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และ ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง ว่า “เดี๋ยวก็คอยดูสิว่า Pick-up Counter ใครจะได้ ซึ่งก็รู้ๆกันอยู่ครับ”
นายวรวุฒิ ยังตั้งข้อสังเกตถึงการประมูลดิวตี้ฟรีดอนเมืองเมื่อเร็วๆนี้ว่า “เป็นไปได้อย่างไร ที่ไม่มีใครเข้าประมูลเลย ทั้งๆเราเป็นประเทศที่มีรายได้จากนักท่องเที่ยวมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก และมีนักท่องเที่ยวมากเป็นอันดับ 9 ของโลก แต่ไม่มีใครเข้าประมูลดิวตี้ฟรี มีแค่รายเดียว มันสะท้อนอะไร”
ส่วนกรณีที่ทอท.มีนโยบายเปิดเสรี Pick-up Counter และทอท.จะเข้ามาเป็นผู้ให้บริการ Pick-up Counter เพื่ออำนวยความสะดวกให้เอกชนรายอื่นๆที่มีร้านค้าดิวตี้ฟรีในเมือง (Duty Free Downtown) นั้น นายวรวุฒิ มองว่า ทอท.ไม่มีความรู้และประสบการณ์ในด้านนี้
ดังนั้น ทอท.ควรให้เอกชนที่เป็นกลาง และมีบริการด้านโลจีสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ มีฮาร์ดอแวร์และซอฟต์แวร์ มีคลังสินค้าขนาดใหญ่รองรับ เข้ามาให้บริการตรงนี้จะเหมาะสมมากกว่า และยังทำให้เกิดความยุติธรรมกับผู้ประกอบการดิวตี้ฟรีทุกรายด้วย
“พูดง่ายๆว่า Pick-up Counter ถ้าโปร่งใสและเป็นกลาง ก็จะเกิด Duty Free Downtown ที่มีผู้ประกอบการรายอื่นเข้ามาเล่นด้วย แต่ถ้า Pick-up Counter ไม่โปร่งใสและไม่เป็นกลาง มันก็ทำให้ผู้ประกอบการไม่มั่นใจว่าข้อมูลทางธุรกิจของตัวเอง จะตกอยู่ในมือคู่แข่งหรือไม่ ซึ่งจะทำให้แข่งขันไม่ได้” นายวรวุฒิกล่าว
เหล่านี้คือเหตุและผลของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับกรณีการประมูลพื้นที่ดิวตี้ฟรี ส่วนที่มีตั้งข้อสังเกตว่างานเลี้ยงโต๊ะจีน พปชร. ทำให้ ‘คิงเพาเวอร์’ ชนะสัมปทานดิวตี้ฟรีหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่สาธารณชนต้องพิจารณา
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/