ผู้ป่วยไตวายยอมออกจากงาน “รับสิทธิบัตรทอง” สะท้อนประกันสังคมด้อยกว่า
ตอกย้ำผลการศึกษาเปรียบเทียบสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพ “ประกันสังคมจ่ายแต่ได้สิทธิน้อยกว่าบัตรทองฟรี” ประธานชมรมผู้ป่วยเผยวิศวะไตวายลงทุนออกจากงานเพื่อรับสิทธิบัตรทอง สปสช.แถลงแบกค่าใช้จ่ายอื้อ
นพ.ปรีดา แต้อารักษ์ โฆษก สปสช.กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าผู้ป่วย สปสช.ไม่สามารถไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนได้ ว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ปัจจุบันมีหน่วยบริการเอกชนเข้าร่วมโครงการกับสปสช.ถึง 264 แห่ง เป็น รพ.ขนาดใหญ่ที่รับส่งต่อ 84 แห่ง และผู้มีสิทธิบัตรทองสามารถที่จะเปลี่ยนหน่วยบริการได้ถึงปีละ 2 ครั้ง โดย สปสช. เน้นให้เลือกหน่วยบริการใกล้บ้านหรือใกล้ที่ทำงานเป็นหลัก
โฆษก สปสช.กล่าวต่อว่าจากที่มีการขยายการให้บริการผู้ป่วยมากขึ้นโดยเฉพาะผู้ป่วยหนักที่เป็นโรคค่าใช้จ่ายสูง เช่น โรคมะเร็ง หัวใจ ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ทำให้ สปสช.รับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นมาก เนื่องจากผู้ป่วยไตวายเพิ่มขึ้นมากอย่างรวดเร็ว สาเหตุหนึ่งคือมีที่ผู้ป่วยไตวายขอย้ายสิทธิเข้าระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามากขึ้นผิดปกติ บางรายยอมลาออกจากงาน เพราะระบบประกันสังคมยังไม่ได้ให้สิทธิผู้ป่วยไตวายในบางกรณีเท่าเทียมกับบัตรทอง
เช่น การรับยากดภูมิต้านทานในกรณีเป็นไตวายก่อนเข้าประกันสังคมหรือผู้ป่วยต้องรับภาระจ่ายค่ายากระตุ้นเม็ดเลือดแดงในส่วนเกินที่โรงพยาบาลเรียกเก็บจากประกันสังคม ต่างกับระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่พยายามลดต้นทุนค่ายา และไม่อนุญาตให้มีการเรียกเก็บเงินจากผู้ป่วย
“ระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศต้องพัฒนาให้เกิดความเท่าเทียม และช่วยกันพัฒนาคุณภาพการบริการ ต้องประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ทำได้ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการที่จำเป็นของผู้ป่วยให้มากขึ้น” นพ.ปรีดากล่าว
นายสุบิน นกสกุล ประธานชมรมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย เปิดเผยขณะเข้ารับรักษาตัวที่ รพ.นพรัตน์ราชธานี ว่าขณะนี้ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายในระบบประกันสังคมเดือดร้อนหนักเพราะขั้นตอนการที่จะให้สิทธิทดแทนไตต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการเป็นเวลานาน และขณะนี้ผู้ป่วยไตวายที่ได้รับการปลูกถ่ายไตก่อนเข้าระบบประกันสังคม ต้องรับภาระจ่ายค่ายากดภูมิต้านทานเดือนละ 2-3 หมื่นบาทเองจนกว่าจะเสียชีวิตหรือลาออกจากงานเพื่อเข้าระบบบัตรทองซึ่งขยายสิทธิให้ยากดภูมิต้านใช้ฟรีตลอดชีวิต
“มีป่วยบางคนจบวิศวะมีงานทำ ต้องแบกค่ายากดภูมิต้านทานเพราะประกันสังคมไม่ให้สิทธิ เพราะเปลี่ยนไตก่อนจบวิศวะ จะขอรับสิทธิบัตรทองก็ไม่ได้ ต้องลาออกจากงานก่อน ทำให้ขาดรายได้เลี้ยงครอบครัว”
นายสุบิน กล่าวว่าระบบประกันสังคมต้องปรับปรุงครั้งใหญ่ เพิ่มประสิทธิภาพ เอาผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางหรือให้ผู้ป่วยมีอิสระในการเลือกไม่จ่ายสมทบค่ารักษาพยาบาล ใช้สิทธิบัตรทองแทน อย่างไรก็ตามระบบบริหารของประกันสังคมสุดอืด จ่ายค่ายากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดเลือดแดง ซึ่งเป็นยาจำเป็นสำหรับผู้ป่วยโรคไตส่วนใหญ่ ประกันสังคมจ่ายค่ายาให้โรงพยาบาลต่างๆแพงกว่าที่ สปสช. จัดซื้อหลายเท่าตัว
เช่น ยายี่ห้อ Eprex หรือ Erypo บริษัทขายให้ สปสช.เข็มละ 370 บาท แต่ประกันสังคมกำหนดราคากลาง 1,450 บาท ผู้ป่วยเบิกได้ 750 บาท ที่เหลือต้องจ่ายเพิ่มเติม หรือยายี่ห้อ Eporon ขายให้ สปสช.เข็มละ 210 บาท ประกันสังคมต้องจ่าย 650 บาท ดังนั้นมีผู้ป่วยประกันสังคมต้องจ่ายค่ายากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงสูงกว่า สปสช.กว่า 200 ล้านบาทต่อปี และผู้ป่วยต้องจ่ายค่ายาเพิ่มมากกว่าปีละ 50 ล้านบาท
“ถ้าผมหายป่วยออกจากโรงพยาบาลได้ ผมจะพาผู้ป่วยไปขอลาออกจากประกันสังคมทันที ถ้าประกันสังคมไม่แก้ไขให้ผู้ป่วยมีสิทธิเท่าเทียมบัตรทอง” ประธานชมรมกล่าว .
ที่มาภาพ : http://sanamluang2008.blogspot.com/2010/03/1002-2.html