“ซูจี” เตือนฟ้องคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อาจจุดวิกฤตโรฮิงญาขึ้นอีก
นางอองซาน ซูจี ผู้นำแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศของเมียนมาร์ วอนศาลโลกยกฟ้องคดีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ พร้อมตือนว่า เสี่ยงทำให้วิกฤตความขัดแย้งที่ทำห้ชาวโรฮิงญาเกือบ 7 แสนคนต้องอพยพไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ปะทุขึ้นอีกรอบ
เว็บไซต์ พีพีทีวีเฮชดี36 รายงานว่า “ซูจี” เตือนฟ้องคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อาจจุดวิกฤตโรฮิงญาขึ้นอีก ถ้อยแถลงของนางอองซาน ซูจี เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ที่มีขึ้นในการกล่าวปิดคดีระหว่างให้การวันสุดท้ายต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก ระบุด้วยว่า การที่คณะตุลาการของศาล มีมติให้การไต่สวนข้อกล่าวหาที่รัฐบาลแกมเบีย ในฐานะตัวแทนองค์การความร่วมมืออิสลามหรือโอไอซี (OIC) ยื่นฟ้องร้องรัฐบาลเมียนมาร์ในข้อกล่าวหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวมุสลิมโรฮิงญาในรัฐยะไข่ จะเป็นการบ่อนทำลายความปรองดองของประเทศ
ผู้นำแห่งรัฐของเมียนมาร์ กล่าวว่า หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการตัดสินใจดังกล่าวจะช่วยให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีจากความหลากหลายขึ้นในเมียนมาร์ได้ พร้อมย้ำว่า ขั้นตอนที่ก่อให้เกิดความสงสัยหรือสร้างความขุ่นข้องหมองใจระหว่างชุมชนที่ความเชื่อมั่นเพิ่งเริ่มก่อร่างขึ้นอย่างเปราะบาง อาจบ่อนทำลายการปรองดองที่เกิดขึ้นได้
“ซูจี” เตือนฟ้องคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อาจจุดวิกฤตโรฮิงญาขึ้นอีก
นอกจากนี้ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า การยุติความขัดแย้งภายในประเทศที่ยังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ถือเป็นภารกิจที่รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุด แต่การหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยวิกฤตความขัดแย้งทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ ในช่วงปี 2016 – 2017 จนทำให้ชาวโรฮิงญากว่า 7 แสนคนต้องลี้ภัยความรุนแรงไปยังค่ายผู้อพยพในบังกลาเทศ ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
ทั้งนี้ นางอองซาน ซูจีละคณะผู้แทนเมียนมาร์เข้าชี้แจงข้อกล่าวหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อศาลโลก ณ กรุงเฮก ของเนเธอร์แลนด์ เป็นเวลา 3 วัน ท่ามกลางกลุ่มผู้สนับสนุนจำนวนมากที่รวมตัวให้กำลังใจด้านนอก พร้อมชูป้ายและตะโกนข้อความระบุจะยืนเคียงข้างเจ้าของรางวัลโนเบลรายนี้