ย้อนเหตุบึ้มเขย่ากรุง...เมื่อกลุ่มเคลื่อนไหวชายแดนใต้ร้ายกว่าที่คิด
เหตุลอบวางระเบิดในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลเมื่อวันที่ 1 และ 2 สิงหาคม แม้จะเรียกกันติดปากว่า "ระเบิดป่วนกรุง" แต่อานุภาพและความร้ายแรงของเหตุการณ์อยู่ในระดับก่อวินาศกรรมขนาดใหญ่เลยทีเดียว
เพราะเป้าหมายของการระเบิดอยู่ที่หน้าส่วนราชการสำคัญ ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการกองทัพไทย สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ศูนย์ราชการอาคาร B และย่านการค้า ได้แก่ประตูน้ำ ห้างสรรพสินค้าชื่อดังในสยาม และเส้นเลือดใหญ่การคมนาคมขนส่งของคนกรุงอย่างสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส
ระเบิดทุกลูกเป็นแบบตั้งเวลาระเบิด ตั้งแต่เช้ามืดของวันที่ 2 สิงหาคมไปจนกระทั่งช่วงสายๆ ภาพที่คนร้ายอยากให้เกิดขึ้นก็คือทะเลเพลิงในย่านการค้าสำคัญกลางกรุง ตามด้วยระเบิดสังหารที่มีทั้งเสียงดังและอันตรายตามสถานที่ราชการสำคัญที่เป็นแหล่งรวมผู้คน และสถานีรถไฟฟ้า สร้างความตื่นตระหนกและหวาดกลัวต่อเนื่อง โดยจังหวะเวลาที่ก่อเหตุอยู่ในช่วงการประชุมอาเซียนซัมมิทที่ไทยเป็นเจ้าภาพในฐานะประธานอาเซียน...
เป้าหมายต้องเรียกว่าไม่ธรรมดาจริงๆ!!!
ถือว่าโชคยังเข้าข้างที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหา 2 คนแรกได้อย่างรวดเร็ว คือ นายลูไอ แซแง และ นายวิลดัน มาหะ ขณะหลบหนีอยู่บนรถทัวร์บริเวณแยกปฐมพร จังหวัดชุมพร เพราะความเงอะๆ งะๆ ขณะวางระเบิดที่บริเวณป้ายหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งสีเสื้อที่เด่นชัดจนทำให้ตำรวจไล่กล้องวงจรปิดติดตามกระทั่งเจอตัว จากนั้นจึงมีการสืบสวนขยายผลต่อเนื่องมา
ระเบิดที่คนร้ายใช้รวมๆ แล้วถึง 20 ลูก แบ่งเป็น
1. ระเบิดแสวงเครื่องแบบสังหาร เป็นระเบิดที่คนร้ายประกอบขึ้นเอง เมื่อระเบิดทำงานจะใช้แรงอัดจากการระเบิดและสะเก็ดระเบิดเพื่อก่อให้เกิดความเสียหายกับบุคคลและสิ่งของที่อยู่ในรัศมี ระเบิดแสวงเครื่องที่พบทั้งหมดใช้วงจร IC Timer ในการหน่วงเวลาระเบิด ร่วมกับเชื้อปะทุไฟฟ้าแสวงเครื่องเป็นตัวจุดระเบิดแบบตั้งเวลา แล้วใช้สาร PETN หรือ Pentaerythritol Tetranitrate ซึ่งเป็นดินระเบิดแรงสูงเป็นดินระเบิดหลัก และใช้ลูกเหล็กกลม หรือ "ลูกปราย" เป็นสะเก็ดระเบิด
2. ระเบิดเพลิงแสวงเครื่อง เป็นระเบิดที่คนร้ายประกอบขึ้นมาเอง เมื่อระเบิดทำงานจะก่อให้เกิดเป็นเปลวเพลิงและเพลิงไหม้ในจุดที่วางระเบิดเอาไว้ ไม่มีสะเก็ดระเบิด ระเบิดประเภทนี้ใช้ในการก่อวินาศกรรมในรูปแบบของการวางเพลิง คนร้ายใช้วงจร IC Timer ร่วมกับเชื้อปะทุไฟฟ้าแสวงเครื่องเป็นตัวจุดระเบิดแบบตั้งเวลา เช่นเดียวระเบิดแสวงเครื่องประเภทแรก แต่ในส่วนของดินระเบิดหลัก ใช้ สตรอนเทียม ไนเตรท (Strontium nitrate) โปแตสเซียม (Potassium) แอมโมเนียม (Ammonium) และไนเตรท (Nitrate) ซึ่งสารเคมีเหล่านี้ เป็นสารออกซิไดซ์ ทำหน้าที่ให้ออกซิเจนเพื่อให้เกิดการเผาไหม้ เป็นสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตดอกไม้ไฟ
ผลการสืบสวนและเก็บข้อมูลของตำรวจ ตลอดจนฝ่ายความมั่นคง เชื่อว่าคนร้ายมีไม่ต่ำกว่า 20 คน (ออกหมายจับทั้งหมด 21 คน) ทั้งผู้บงการ ทีมวางแผน และทีมปฏิบัติการ เป็นคนจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งหมด จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเกี่ยวข้องกับไฟใต้ แต่ทุกฝ่ายเชื่อว่างานนี้มี "มาสเตอร์มายด์" หรือ ผู้บงการใหญ่อยู่เบื้้องหลัง ซึ่งอาจเกี่ยวโยงกับฝ่ายการเมือง โดยข้ามไปวางแผนกันฝั่งมาเลเซีย เคลื่อนย้ายระเบิดและอุปกรณ์ประกอบระเบิดบางส่วนจากมาเลเซียข้ามด่านพรมแดนปกติเขามา คือ ด่านสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส จากนั้นจึงขึ้นมาปฏิบัติการ โดยมีการเช่าบ้านย่านรามคำแหงไว้เป็นจุดพักและประกอบระเบิด ก่อนนัดวันให้ทีมปฏิบัติการวางระเบิดขึ้นมารับของ และกระจายกันไปวางตามจุดต่างๆ ที่วางแผนและ "เคสซิ่งสถานที่" เอาไว้ ก่อนจะหลบหนีกลับใต้ทันที
โดยกลุ่มบงการ วางแผน ลอบหนีลอยนวลออกนอกประเทศไปก่อนแล้ว ส่วนคนคุมปฏิบัติการ และมือวางระเบิดบางส่วนก็หนีตามไป เป้าหมายอยู่ที่การข้ามแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน แต่บางส่วนพลาดถูกจับเสียก่อน
ปฏิบัติการลอบวางระเบิดในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลหนนี้ แม้จะสร้างความเสียหายจริงไม่มากนัก เพราะการวางระเบิดบางส่วนผิดพลาด และระเบิดเพลิงหลายลูกไม่ทำงาน แต่ก็ต้องถือว่าเป็นการลอบวางระเบิดในพื้นที่เมืองหลวงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง และกระจายกันวางหลายจุดมากที่สุดครั้งหนึ่งด้วยเช่นกัน รวมทั้งสะท้อนให้เห็นพัฒนาการของคนร้าย (หากเทียบกับเหตุระเบิดใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบนเมื่อปี 59 ที่มีทั้งระเบิดเพลิงและระเบิดแสวงเครื่องผสมกัน คล้ายๆ กับครั้งนี้) และเป้าหมายใหญ่ที่ต้องการสร้างแรงสั่นสะเทือนไปถึงการประชุมอาเซียนเลยทีเดียว
การใช้คนจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งเป็นมุสลิมทั้งหมดมาวางระเบิดถึงในกรุงเทพฯนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการวางแผนเดินทาง การจัดหาที่พัก การ "เคสซิ่ง" หรือกำหนดพื้นที่เป้าหมายในการก่อเหตุ และการวางแผนหลบหนี ทำให้ในช่วงแรกเจ้าหน้าที่สงสัยว่าอาจจะมีกลุ่มการเมืองหรือพวกที่เคลื่อนไหวทางการเมือง "ฮาร์ดคอร์" อยู่เบื้องหลัง หรือร่วมวางแผน
แต่ข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ได้รับมาล่าสุด และไม่มีการเปิดเผยต่อสาธาณะก็คือ หนึ่งในผู้ต้องหาคนสำคัญในปฏิบัติการระเบิดกรุงเทพฯ และถูกออกหมายจับแล้ว เคยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งย่านชานกรุงเทพฯ แถมเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดัง โดยผู้ต้องหารายนี้เรียนจบคณะวิศวกรรมศาสตร์ เคยทำงานให้สายการบินแห่งหนึ่งในตำแหน่งช่างซ่อมอากาศยาน และมีบัตรเข้าออกสนามบินแห่งหนึ่งด้วย
ข้อมูลนี้สร้างความหนักใจให้กับฝ่ายความมั่นคงมากพอสมควร เพราะถือว่าทำลายทฤษฎีเดิมๆ ที่เคยเชื่อมาทั้งหมด กลายเป็นว่าทุกวันนี้คนในเครือข่ายขบวนการก่อความไม่สงบภาคใต้มาเล่าเรียน ตั้งถิ่นฐาน และทำงานในกรุงเทพฯมากมาย ที่สำคัญการมาเล่าเรียน ไม่ใช่เรียนในมหาวิทยาลัยเปิดย่านหัวหมาก และรวมตัวกันอาศัยเป็นกลุ่มก้อนในชุมชนย่านรามคำแหงเหมือนแต่ก่อนเท่านั้น แต่ทุกวันนี้ได้กระจายไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังด้วย
เช่นเดียวกับคนที่มาทำงานในกรุงเทพฯ ก็ไม่ได้ทำงานเฉพาะเป็นลูกจ้างรายวัน รายเดือน หรือประกอบอาชีพอิสระเหมือนเมื่อก่อน เพราะปัจจุบันมีคนในขบวนการทำงานเกี่ยวกับสายการบินและอากาศยาน
นี่คือสัญญาณอันตรายที่ทำให้ฝ่ายความมั่นคงต้องเร่งปรับแผน เพราะต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ก็จะมีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในขาเศรษฐกิจ และต่อด้วยวาระงานสำคัญ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ผู้นำคริสตจักรโรมันคาทอลิก จะเสด็จเยือนประเทศไทย ซึ่งถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ฝ่ายความมั่นคงต้องเร่งยกระดับมาตรการความปลอดภัย
ท่ามกลางกระแสข่าวว่ามีการเดินทางเข้ากรุงเทพฯของบรรดาผู้ต้องสงสัยจากพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างแล้วกว่า 20 คน!
-------------------------------------------------------------------------------------------
อ่านประกอบ : สรุปส่งฟ้อง 21 ผู้ต้องหาบึ้มกรุง จับได้ 3 - ออกหมายแดงอินเตอร์โพล