มันคือผู้ร่วมชะตากรรม! เกลอ'จตุพร'ขอโทษ'เฮียหวัง'ชี้จุดจบแกนนำนปช.ไม่ต่างกัน
เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2562 ที่ร้านกาแฟพีซทีวี ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงกรณีนายสมหวัง อัสราษี แกนนำ นปช. โพสต์เฟซบุ๊กอ้างว่าสามเกลอ นปช. ใช้ให้เปิดบัญชีรับเงินบริจาค จนโดนเรียกเก็บภาษี 572 ล้านบาท และโดนฟ้องเป็นบุคคลล้มละลายว่า ส่วนตัวรู้สึกไม่สบายใจ เสียใจ และต้องขอโทษนายสมหวังกับครอบครัวด้วย เห็นใจนายสมหวังมีสิทธิที่จะน้อยใจในโชคชะตา แกนนำ นปช. ผู้ร่วมชะตากรรม มีจุดจบไม่ต่างกัน ไม่โดนคดี ติดคุก ก็ต้องล้มละลาย
ทั้งนี้ ตนไม่ทราบว่าจะมีการเรียกเก็บภาษีและปรับสองเท่า จึงขอเรียกร้องไปยังอธิบดีกรมสรรพากร และนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ให้ยกเลิกคำสั่งเก็บภาษีต่อนายสมหวังเพราะส่วนตัวคิดว่าเงินบริจาคทางการเมืองเพื่อการชุมนุม ไม่ควรเรียกเก็บภาษี และไม่เคยมีการเรียกเก็บภาษีมาก่อน แต่หากทำไม่ได้ก็ขอให้มีมาตรฐานเดียวกันกับ 3 กลุ่มการเมือง เพราะ นปช. ไม่ได้เป็นกลุ่มการเมืองแรกที่เปิดบัญชีบริจาค ก่อนหน้าเรามีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หลังเรามี กปปส. ซึ่งตนก็ไม่อยากให้ทั้ง 2 กลุ่มที่เหลือมาเผชิญกับกรณีดังกล่าวด้วย
“ผมเห็นว่าเงินชุมนุมทางการเมืองไม่ควรที่จะมีการจ่ายภาษี ผมอยากให้ทางกรมสรรพากรได้ยกเลิกคำสั่งที่เรียกเก็บภาษีคุณสมหวัง อัสราษี บวกค่าปรับหลายเท่าตัวนี้ หรือท่านยังยืนยันว่าจะต้องปรับอยู่ ท่านก็ควรจะปฏิบัติกับทุกกลุ่มทางการเมืองเฉกเช่นเดียวกัน พวกเราไม่สบายใจ และเสียใจ และขอโทษครอบครัวคุณสมหวัง อัสราษีด้วย คือพี่น้อง นปช. ที่ร่วมต่อสู้กันมา บาดเจ็บ ล้มตาย สูญสิ้นอิสรภาพ สูญเสียทรัพย์มากมาย เราอยู่กันมากกว่าคำว่าเพื่อน มันคือผู้ร่วมชะตากรรม ซึ่งต้องมีจุดจบที่ไม่ได้แตกต่างกัน” นายจตุพร กล่าว
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ได้ติดต่อพูดคุยกับนายสมหวังหรือไม่ และถือว่า นปช.แตกคอกันหรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า เบื้องต้นได้มีพี่น้องไปคุยบ้างแล้ว แต่นายสมหวังยังมีความเครียด และคิดไม่ถึงว่าครอบครัวจะต้องมาประสบชะตากรรมเช่นนี้ ต้องยอมรับสภาพความเป็นจริง เพราะ นปช. อยู่มายาวนานที่สุด แต่อยู่ในสภาพที่ยากลำบาก และไม่มีวันที่จะกลับมาเหมือนเดิม เวลาที่เหลือหลังจากนี้ คือการชดใช้ในสิ่งที่ทำไว้ จุดจบคงหนีไม่พ้นการติดคุกและล้มละลาย
เมื่อถามถึงเหตุผลที่ไม่ใช้ชื่อ 3 เกลอแกนนำ นปช. เปิดบัญชีบริจาค นายจตุพร ระบุว่า การที่เป็นแกนนำ คงไม่สะดวกที่จะเบิกจ่ายเงิน มองว่าไม่เหมาะสมในการถือเงิน และไม่ทราบว่าจะต้องมีการเรียกเก็บภาษีย้อนหลังด้วย
ที่มา : https://www.naewna.com/politic/445312