'เดลินิวส์' จัดประกวดเรื่องสั้น ชิงรางวัลมูลค่า 5 แสน มากสุดในไทย
เวทีแสดงผลงานมาแล้ว! "เดลินิวส์" ร่วมกับสมาคมนักเขียนฯ -พันธมิตร เชิญชวนเยาวชนคนรุ่นใหม่ ส่งผลงานเรื่องสั้นชิงรางวัลกว่า 5 แสน สูงสุดที่เคยมีการจัดประกวดในไทย
เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ที่สำนักงานหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ มีการจัดแถลงข่าวโครงการประกวดเรื่องสั้นยอดเยี่ยมแห่งปี โดยหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ร่วมกับสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยและพันธมิตรจัดโครงการฯขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยคนรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไป ส่งผลงานเรื่องสั้นเข้าร่วมประกวดชิงเงินรางวัลมากกว่า 5 แสนบาท โดยมีนายประชา เหตระกูล บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ และนางกนกวลี พจนปกรณ์ กันไทยราษฎร์ นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย เป็นประธานในงาน
พร้อมด้วยผู้บริหารบริษัทพันธมิตรที่ร่วมสนับสนุนโครงการ ประกอบด้วย นายพันธ์เลิศ ใบหยก ประธานกลุ่มใบหยก บริษัทภูมิภวัน จำกัด นายชาญวิทย์ จารุสมบัติ รองกรรมการผจก.ใหญ่ บริษัทดั๊บเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน) , นางสุพิชญา นิทัศน์วรกุล หัวหน้าสำนักสื่อสารองค์กร สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ,นางเสาวณี เวียงหฤทัย รองผอ.ฝ่ายสื่อสารองค์กร ธนาคารออมสิน ,น.ส.รัชฎาวรรณ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผอ.สำนักประชาสัมพันธ์บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน),นายสมยศ คงประเวช รองกรรมการผจก.ใหญ่ ศักยภาพองค์กร บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด(มหาชน) ,นายอัศศิริ ธรรมโชติ ศิลปินแห่งชาติ และนักเขียนรางวัลซีไรท์ ปี 2524 , ผศ.สกุล บุณยทัต นักเขียน นักวิจารณ์วรรณกรรมและอาจารย์คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ,มัดหมี่ พิมดาว พานิชสมัย และ น.ส.วรรณปิยะ ออมสินนพกุล หรือ กวาง เดอะเฟซ ดาราชื่อดังร่วมงาน
นายประชา กล่าวว่า หนังสือพิมพ์เดลินิวส์อยู่คู่กับสังคมไทยก้าวสู่ปีที่ 56 แล้วที่ผ่านมาได้เสนอข้อมูลข่าวสารอย่างเที่ยงตรง รวดเร็ว ถูกต้องโดยยึดหลักจริยธรรมของสื่อมวลชนตลอดมา ด้วยความเป็นองค์กรด้านสื่อสารมวลชน จึงอยากร่วมสนับสนุนส่งเสริมเรื่องวรรณกรรมไทย โดยร่วมกับทางสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย และพันธมิตรบริษัทต่างๆ จัดโครงการประกวดเรื่องสั้นขึ้นมา เพื่อให้นักเขียนได้มีเวทีในการแสดงผลงานและความคิดสร้างสรรค์ โดยมีเงินรางวัลชนะเลิศสูงถึง 300,000 บาท ถือว่าสูงสุดตั้งแต่มีการประกวดเรื่องสั้นในประเทศไทย
โดยหวังว่าโครงการนี้จะเป็นเวทีให้นักเขียนเก่าและใหม่ ได้แสดงผลงานของตนเองอีกเวทีหนึ่ง และช่วยจุดประกายให้คนไทยตื่นตัว และหันมาสนใจวรรณกรรมไทย รวมถึงช่วยปลูกฝังนิสัยรักการอ่านและการเขียนหนังสือให้กับคนไทยมากยิ่งขึ้น เพื่อนำไปใช้ยกระดับชีวิตและพัฒนาตนเองให้รู้เท่าทันโลกซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศต่อไป
ด้านนางกนกวลี กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีนักเขียนจำนวนมาก ในส่วนที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯมีประมาณ 1,000 คน ซึ่งนักเขียนทุกคนทำงานด้วยความตั้งใจ เพราะเชื่อว่างานเขียนวรรณกรรมสามารถบันทึกสะท้อน และชี้นำสังคมได้ การร่วมมือกับทางหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ถือเป็นการเพิ่มช่องทาง ให้นักเขียนและคนทั่วไปที่สนใจเรื่องวรรณกรรมได้มีพื้นที่ในการแสดงผลงานของตนเองมากยิ่งขึ้น จากปัจจุบันที่ช่องทางการเผยแพร่ผลงานเขียนทางสื่อกระแสหลักลดน้อยลง เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้หนังสือและนิตยสารที่เกี่ยวข้องกับวรรณกรรมต้องปิดตัวลงไป เชื่อว่าโครงการนี้จะช่วยส่งเสริมให้นักเขียนทั้งหน้าเก่า และหน้าใหม่รวมถึงประชาชนทั่วไปที่สนใจอยากเป็นนักเขียน และผู้ที่รักการอ่าน ได้มีพื้นที่ในการสร้างสรรค์ผลงานและติดตามงานเขียนที่ตนเองสนใจตลอดระยะเวลา 1 ปีของโครงการฯ
ด้านผศ.สกุล กล่าวว่า การประกวดเวทีนี้ เป็นการกระตุ้นจิตวิญญาณของนักเขียนไทย เพราะที่ผ่านมานิตยสารและพื้นที่ของนักเขียนหลายแห่งต้องปิดตัวลง ขณะเดียวกันด้วยภาวะสังคมที่มีความขัดแย้งก็เป็นส่วนหนึ่งที่กระตุ้นให้นักเขียนมีแรงบันดาลใจ ที่จะเขียนเรื่องสั้นที่สะท้อนสังคมที่เป็นกระจก สะท้อนความเป็นไปได้มากขึ้น ซึ่งการประกวดเวทีนี้ จะขยายขอบเขตทางวรรณกรรม เพราะมีการดำเนินโครงการ 1 ปีเท่ากับว่าจะมีเรื่องสั้น 365 วัน ที่แต่ละเรื่องสะท้อนแง่มุม ความเป็นไปที่นักเขียนได้รับแรงบันดาลใจและส่งผลทำให้เกิดงานแนวใหม่ๆในวงการวรรณกรรมไทย
ด้านนายอัศศิริ กล่าวว่า เรื่องสั้นมีมากว่า 100 ปี ซึ่งในฐานะนักเขียนเรื่องสั้น คนที่เขียนได้ต้องมีจินตนาการ และประสบการณ์โดยทั้งสองสิ่งนี้จะทำให้คนที่อ่านเกิดความรู้ และนักเขียนที่ดีต้องผสมผสาน สิ่งเหล่านี้ให้งานออกมามีศิลปะ และด้วยงานเรื่องสั้นมีลักษณะพิเศษ เพราะมีเนื้อที่เขียนอย่างจำกัด ผู้เขียนต้องมีความคิดในประเด็นของเรื่องที่แจ่มชัดถึงจะสร้างคุณค่าความสนุกสนาน ความโศกเศร้าให้กับผู้อ่านได้ ขณะเดียวกันผู้เขียนต้องมีศิลปะในการใช้ภาษาที่จะดึงคนอ่านให้มีความรู้สึกร่วมกับเรื่องราวที่เขียน สำหรับโครงการนี้คาดหวังว่าเรื่องสั้นที่ส่งมาจะสะท้อนแนวคิดในหลากหลายแง่มุม ทั้งเรื่องภัยพิบัติ เศรษฐกิจ สังคมและวิทยาศาสตร์ที่จะเป็นกระจกสะท้อนความเป็นไปในสังคมปัจจุบัน
มัดหมี่ พิมดาว พานิชสมัย กล่าวว่า ชอบอ่านคำคมอ่านเรื่องสั้นสร้างแรงบันดาลใจ จึงได้รวบรวมประสบการณ์ชีวิตมาถ่ายทอด เป็นคำคมพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือชื่อ “มัดใจ” และ“มัดใจ2” รวมถึงสมุดโน้ต“ให้ดาวนำทาง” ทุกถ้อยคำในหนังสือมาจากสิ่งที่เราคิดและเขียนออกมาให้รับรู้กันในวงกว้าง ทำให้คนได้รับแรงบันดาลใจจากการอ่านเรื่องราวหรือคำคมของเรา มัดหมี่รู้สึกดีใจมากที่มีโครงการประกวดเรื่องสั้นนี้ขึ้นมาโอกาสมาถึงทุกๆคนแล้ว ในฐานะนักเขียนมัดหมี่อยากจะเชิญชวนคนรุ่นใหม่ทุกเพศทุกวัน แชร์เรื่องราวหรือสิ่งที่คุณคิดเป็นเรื่องสั้นเข้าร่วมประกวดนอกจากจะได้ประสบการณ์และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์แล้ว การเขียนและการอ่านหนังสือยังทำให้เราได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองได้คิดและทบทวนจิตใจตัวเองด้วย
กวาง เดอะเฟส กล่าวว่า ในฐานะคนชอบอ่านหนังสือ มองว่าทุกวันนี้หลายคนอ่านบทความงานเขียน ผ่านสมาร์ทโฟนเป็นส่วนใหญ่แต่ในความรู้สึกของกวางการอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์หรืออ่านหนังสือเป็นกระดาษ เป็นเล่มที่เราจับเปิดพลิกทีละหน้าได้ด้วยมือ แตกต่างจากการอ่านผ่านสมาร์ทโฟนมาก เพราะการอ่านจากกระดาษ ทำให้ผู้อ่านตกผลึกความคิดตามผู้เขียนได้บรรทัดต่อบรรทัดตกผลึกความคิด หรืออาจทำให้ผู้อ่านมีเรื่องที่อยากเล่าในแบบของตัวเองอยู่ในใจ
ดังนั้นโครงการประกวดเรื่องสั้นยอดเยี่ยมแห่งปี ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์และสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยเป็นโครงการที่ดีมาก ที่เปิดพื้นที่ให้เยาวชนคนรุ่นใหม่หรือประชาชนทั่วไปส่งเรื่องสั้นที่อยากเล่าเข้ามาประกวดและอ่านกัน ซึ่งกวางได้ฟังคำแนะนำจากพี่ ๆนักเขียนทั้งสองท่าน ที่มาร่วมงานในครั้งนี้พูดถึงคุณสมบัติของนักเขียนว่าต้องเป็นผู้มีจิตนาการ และประสบการณ์ นอกเหนือจากเงินรางวัลและได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับวันที่18 พ.ย. 2562 เป็นต้นไปแล้ว กวางเชื่อว่าช่วงเวลาที่เราได้ลองเขียนเรื่องสั้น เราจะได้ตกผลึกความคิดจากสิ่งที่เราสนใจเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์เป็นประโยชน์ต่อตัวเราและคนที่ได้อ่านงานเขียนของเราแน่นอน
ทั้งนี้โครงการประกวดเรื่องสั้นยอดเยี่ยมแห่งปี จะเปิดรับผลงานเรื่องสั้นทุกแนวโดยทางโครงการจะทำการคัดเลือกเรื่องสั้นที่เข้าหลักเกณฑ์นำลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ทุกวันๆละ 1 เรื่อง (ฉบับจันทร์-อาทิตย์) ซึ่งเจ้าของผลงานเรื่องสั้นจะได้ค่าตอบแทนจำนวน 1,500 บาทต่อเรื่อง และเมื่อครบ 1 ปีจะนำเรื่องสั้นที่ได้ลงตีพิมพ์ในแต่ละวันมาตัดสินเพื่อหาเรื่องสั้นรางวัลชนะเลิศรับเงินรางวัล 300,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศจำนวน 2รางวัลๆละ 50,000 บาท และรางวัลชมเชย 10รางวัลๆละ 10,000 บาท รวมเงินรางวัลการประกวดทั้งสิ้น 500,000บาท
สำหรับเงื่อนไขการส่งผลงานประกวด 1.รับผลงานเรื่องสั้นทุกแนว อาทิ แนวสะท้อนการเมือง เศรษฐกิจและสังคม แนวตลก ดราม่า โรแมนติก สืบสวนสอบสวน สยองขวัญ และวิทยาศาสตร์ ฯลฯ 2.ไม่จำกัดเพศ อายุระดับการศึกษาของผู้ส่งผลงานเข้าประกวด สามารถส่งผลงานได้มากกว่า1 เรื่อง 3.ผู้สมัครต้องส่งงานเขียนของตนเองพิมพ์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นภาษาไทยโดยใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์เวิร์ด ความยาว 6-7 หน้ากระดาษ A4โดยใช้รูปแบบตัวอักษร Cordia New ขนาด 16 Point แล้วส่งไฟล์ผลงานมาที่อีเมล์ [email protected]
4.ผลงานที่ส่งเข้าประกวดต้องเป็นเรื่องที่เขียนใหม่ ไม่เคยได้รับรางวัลจากการประกวดและไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในสื่อทุกประเภทมาก่อน รวมถึงต้องไม่เป็นผลงานที่ลอกเลียนแบบหรือละเมิดลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญาหากมีการละเมิดลิขสิทธิ์ผู้ที่ส่งผลงานต้องรับผิดชอบเพียงผู้เดียวและสงวนสิทธิ์ในการเรียกคืนรางวัล 5.ผู้เขียนต้องระบุชื่อ-นามสกุลหรือ/และนามปากกา(หากมี) พร้อมที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์และอีเมล์(E-mail) ที่สามารถติดต่อได้พร้อมแนบไฟล์สำเนาบัตรประชาชนส่งมาด้วย 6.คณะกรรมการตัดสินขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่ให้รางวัลในกรณีผลงานที่ส่งเข้าประกวดไม่ถึงเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดขึ้นและการตัดสินของคณะกรรมการถือเป็นที่สิ้นสุด
กำหนดรับผลงานตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย.62 - วันที่ 1 ต.ค.2563 และสามารถติดตามรายละเอียดของโครงการได้ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ เว็บไซต์เดลินิวส์(www.dailynews.co.th) และรายการไลฟ์สด ของเดลินิวส์ ไลฟ์ (DailynewsLive-TH)ที่ออกอากาศในยูทูบต่อไป
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/