กองปราบรวบ 'พ่อมดคริปโตเคอเรนซี่' หลอกลงทุนเงินดิจิตอล เสียหาย 500 ล้าน
กองปราบตามรวบหัวโจกแก๊งโกงเงินอิเล็กทรอนิกส์ ฉายา “พ่อมดคริปโตเคอเรนซี่” หลอกชาวบ้านลงทุนร่วมแก๊งเวียดนามสูญเงินกว่า 500 ล้านบาท ส่วนเวียดนามร่วมขบวนการนกรู้หลบหนีออกไปประเทศ ตำรวจตามล่าผู้ร่วมขบวนการที่เหลือ
วันนี้ (5ก.ย.) ที่ กองบังคับการปราบปราม พันตำรวจเอก แมน เม่นแย้ม ผู้กำกับการ 4 นำกำลังจับกุมตัว นายมานะ จูเมือง เจ้าของฉายา “พ่อมดคริปโตเคอเรนซี่” อายุ 48 ปี ชาวจังหวัดพิจิตร ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดพิจิตร ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกง” โดยจับกุมตัวได้ขณะผู้ต้องหากำลังเล่นฟุตบอลกับพวก ที่ สนามฟุตบอลย่านพระราม 9 เมื่อค่ำวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา
การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อปี 2561 ต่อเนื่องปี 2562 นายมานะ หัวหน้าแก๊งได้ร่วมกับพวกคนไทยและชาวเวียดนาม รวม 7 คน แบ่งเป็นคนไทย 3 คนและชาวเวียดนาม 4 คน รวมตัวกันไปก่อเหตุหลอกลวงประชาชนทั้งชาวไทย ชาวเวียดนาม เกาหลีใต้ และชาวต่างชาติอื่นๆในเอเชียราว 10 ประเทศ ให้ร่วมลงทุนเงินสกุลดิจิตอลต่างๆ เช่น วันคอยน์ , บิตคอยน์ , ริปเปิล และ อีเทอเรียม เป็นต้น โดยใช้สถานที่พิพิธภัณฑ์บ้านดง โฮจิมินห์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพไทย-เวียดนาม ตั้งอยู่ใน ต.ป่ามะคาบ อ.เมือง จ.พิจิตร เพื่อเป็นแหล่งจูงใจให้กับคนเวียดนาม ทั้งนี้กลุ่มผู้ต้องหาได้อ้างตัวนักค้าเงินดิจิทัล – เทรดสกุลเงินคริปโตเคอเรนซี่ โดย นายมานะ จะอ้างตัวเป็น “พ่อมดคริปโตเคอเรนซี่” หรือผู้เชี่ยวชาญด้านเงินดิจิตอลขั้นเทพ ก่อนจะเชิญชวนให้ผู้ที่สนใจร่วมลงทุนสกุลเงินดิจิตอลหลายสกุล โดยอ้างว่าได้กำไรดี โดยลงทุนเงินเพียง 200 วัน จะได้กำไรทันที 400%
ทั้งนี้กลุ่มผู้ต้องหายังเน้นเชิญชวนชาวบ้านให้ลงทุนในสกุลเงินวันคอยน์ ซึ่งก่อนหน้านี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศเตือนการถือครองเงินสกุลวันคอยน์มาแล้วว่ามีความเสี่ยงสูงต่อการถูกฉ้อโกง โดยแก๊งคนร้ายได้หลอกคนไทยและต่างชาติว่า หากถือครองเงินสกุลวันคอยน์ในอัตราการแลกเปลี่ยน 1,000,000 บาท จะแลกเงินดิจิทัลได้ 100,000 เหรียญวันคอยน์ ซึ่งจูงใจด้วยการโฆษณาว่า หากสะสมเหรียญวันคอยน์ครบตามกำหนดก็จะนำไปแลกสินค้าต่างๆได้ เช่น 10,000 เหรียญวันคอยน์ สามารถแลกทองคำน้ำหนัก 1 บาท หรือ 1,000,000 เหรียญวันคอยน์สามารถแลกรถเบ๊นซ์ได้จำนวน 1 คัน หรือบางส่วนก็สามารถนำไปแลกบ้านเดี่ยวได้อีกด้วย
นอกจากนี้ในระหว่างที่สะสมเหรียญวันคอยน์ถ้าครบตามกำหนดระยะเวลาก็จะมีการปันผลให้อีกส่วนหนึ่ง ทำให้ชาวบ้านทั้งคนไทยและชาวต่างชาติหลงเชื่อจำนวนหลายพัน จึงร่วมลงทุนไปรวมเป็นเงินกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งในช่วงแรกชาวบ้านก็ได้รับเงินปันผลแต่ต่อมากลับไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆจากกลุ่มคนร้ายจึงเริ่มเกิดความสงสัยว่าจะถูกต้มตุ๋น รวมทั้งพยายามติดต่อตามหากลุ่มผู้ต้องหาแต่ก็ไม่พบตัวและติดต่อไม่ได้ จึงรวมตัวกันไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายพื้นที่และพนักงานสอบสวนได้ออกหมายจับไว้จนมาถูกชุดสืบสวน กก.4 บก.ป. จับกุมตัวได้ในที่สุด
สำหรับกลุ่มคนร้ายนี้ ประกอบด้วย ชาวเวียดนาม 4 คน และชาวไทย 3 คน โดยแบ่งหน้าที่กันทำเป็นขบวนการชัดเจนมีทั้งคนเปิดบัญชี คนเจรจาหลอกลงทุน และคนคุมเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิด เป็นต้น ซึ่งขณะนี้ทางตำรวจกำลังติดตามคนไทยอีก 2 คนที่เหลือ ส่วนชาวเวียดนามทั้งหมดที่ร่วมขบวนการมีข้อมูลว่าได้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว ส่วนเงินที่หลอกไปได้กลุ่มผู้ต้องหาได้นำไปซื้อที่ดินใน จ.พิจิตร ไว้บางส่วน ขณะนี้กำลังเสนอ ผู้บังคับบัญชาให้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. เพื่อตรวจสอบและยึดทรัพย์สินของคนร้ายต่อไป
เบื้องต้นสอบสวนผู้ต้องหารายนี้ให้การภาคเสธ ยอมรับว่าเป็นคนในหมายจับจริงแต่ไม่ได้กระทำความผิด ทางเจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวส่งให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพิจิตร จ.พิจิตร ดำเนินคดีต่อไป พร้อมเร่งติดตามผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด