“เฉลิมชัย”ดันใช้ยางในประเทศอย่างจริงจัง-ชาวสวนยางขานรับนโยบายประกันรายได้
ชาวสวนยางขานรับนโยบายประกันรายได้ พร้อมขอบคุณรัฐบาลที่รักษาสัญญา ชี้ช่วยซับน้ำตาชาวสวน-คนรับจ้างกรีดที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนจากยางราคาตกกว่า1.7 ล้านคน ด้าน“เฉลิมชัย”เดินหน้างัดมาตรการแก้ปัญหาระยะยาว มุ่งลดพื้นที่ปลูก-ผลักดันการใช้ยางในประเทศอย่างจริงจัง เพื่อยกระดับเสถียรภาพราคายางในประเทศแบบยั่งยืน
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ออกมาประกาศเตรียมนำโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางพารา ระยะที่ 1 นำเสนอให้ครม. พิจารณาเร่งด่วน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรชาวสวนยางและลดผลกระทบให้แก่เกษตรกรที่กำลังประสบปัญหาราคายางพาราตกต่ำ นายกิตติธัช ณ วาโย รองผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรรัตภูมิ จำกัด ได้แสดงความคิดเห็นต่อนโยบายดังกล่าวว่า ปัจจุบันสหกรณ์การเกษตรรัตภูมิมีสมาชิก 4,000 กว่าคน ส่วนใหญ่ยึดอาชีพทำสวนยางพาราและธุรกิจหลักของสหกรณ์คือรวบรวมน้ำยางสดแปรรูปเป็นยางแผ่นรมควันโดยรับซื้อยางประมาณ 500กว่าตัน/ปี ปัจจุบันสมาชิกมีความเดือดร้อนจากปัญหายางราคาตกอย่างต่อเนื่อง เมื่อได้ข่าวว่ารัฐบาลจะเข้ามายื่นมือช่วยด้วยการประกันรายได้ให้เกษตรกรก็พากันดีใจ หากมีการประกันราคายางไม่ว่าชนิดไหนเกิน50บาทขึ้นไปชาวบ้านก็พอใจแล้ว
นายกิตติธัช กล่าวถึงสถานการณ์ราคายางในขณะนี้ด้วยว่า ในส่วนของสหกรณ์จะทำการรับซื้อน้ำยางสดจากสมาชิกอยู่ที่ประมาณ 35 – 37 บาทถือว่าเป็นเกณฑ์ที่ต่ำมาก ส่วนราคาที่รัฐบาลจะประกันให้ทราบว่าอยู่ที่ราคา 50 บาทซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ทำชาวบ้านก็ใจชื้นขึ้น ส่วนระยะเวลาในการดำเนินการที่หลายฝ่ายอาจมองว่าให้การช่วยเหลือสั้นเกินไปแต่สำหรับตนมองว่าระยะสั้น-ยาวไม่สำคัญ มาตรการที่ออกมาเป็นสื่อสัญลักษณ์ให้เห็นถึงความจริงใจของรัฐบาลในการรักษาสัญญาที่ได้รับปากกับชาวสวนยางไว้ เมื่อความเดือดร้อนของเกษตรกรคลี่คลายลงก็อยากให้รัฐบาลเดินหน้าแก้ปัญหาในระยะยาว เพื่อผลักดันเสถียรภาพราคายางให้มั่นคงแบบยั่งยืนขึ้น โดยเฉพาะการส่งเสริมการใช้ยางในประเทศจะต้องเดินหน้าควบคู่กันไปด้วย
“ปัจจุบันสหกรณ์ไม่ได้หวังพึ่งภาครัฐแต่เพียงอย่างเดียว เราต้องพึ่งตนเองด้วย ด้วยการหันมาเพิ่มมูลค่ายางพาราด้วยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปยางพารา โดยได้เช่าพื้นที่โครงการนิคมอุตสาหกรรมยางพารา (Rubber City) ในนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา เพื่อใช้เป็นฐานการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆเพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออก ปัจจุบันแปรรูปทั้งยางอัดก้อน ยางอัดก้อน ยางรองส้นเท้าลดแรงกระแทก รองเท้านักเรียนหญิง และรองเท้าแตะ ตรา GROWY จากยางกก.ละ 40 บาทเมื่อนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ส้นรองเท้าใช้สามารถขายได้350-400 บาท/คู่ ในขณะที่ใช้น้ำยางเพียง 2 กรัมเท่านั้น ซึ่งผมคิดว่าหากทุกฝ่ายช่วยกันส่งเสริมการใช้ยางในประเทศด้วยการแปรรูปก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับราคายางได้” นายกิตติธัช กล่าว
ด้านนางดวงทิพย์ มะณี อายุ 53 ปี เกษตรกรชาวสวนยาง ตำบลกำแพงเพชร อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา กล่าวว่า ที่ผ่านมาเกษตรกรชาวสวนยางมีความเดือดร้อนมากจากราคายางที่ตกฮวบ แถมยังประสบปัญหาน้ำยางให้ผลผลิตต่ำลงเนื่องจากฝนตกทุกวัน ส่งผลให้เกษตรกรเป็นหนี้สินตามมา เมื่อทราบว่ารัฐบาลมีนโยบายประกันรายได้ชาวสวนทุกคนก็พากันดีใจ และเฝ้ารอดูว่ารัฐบาลทำจริงหรือไม่ ส่วนราคาที่ประกันรายได้ที่ประกาศ ในส่วนของยางแผ่นดิบคุณภาพดี 60 บาท/กก.นั้นถือว่ารับได้และทำให้เกษตรกรชาวสวนยางยิ้มออก ทุกวันนี้ขายน้ำยางให้กับสหกรณ์การเกษตรรัตภูมิ ในราคา 38 บาท/กก.หรือประมาณ 3กก.100 บาท วันหนึ่งได้ประมาณ 20 กว่ากก. คิดเป็นรายได้วันละ 700-800บาทเท่านั้นถือว่าไม่คุ้มเพราะต้องแบ่งรายได้กับคนรับจ้างกรีดอีก 50% ของรายได้และขอบคุณรัฐบาลที่รักษาสัญญาในการช่วยเหลือชาวสวนยางในครั้งนี้
ด้านนายนิด จันทร์พุ่ม ประธานกรรมการสหกรณ์การเกษตรย่านตาขาว จำกัด อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง กล่าวว่า แม้โครงการประกันรายได้ครั้งนี้จะเป็นเพียงโครงการระยะสั้น แต่ก็ถือว่าช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจชาวสวนยางให้มีกำลังใจขึ้น ปัจจุบันสหกรณ์มีสมาชิก 5,700 รายรับซื้อสมาชิกอยู่ที่ 37 บาท/กก.ทำให้มีส่วนต่างจากราคาประกันอยู่ 23 บาทซึ่งถือเป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นของเกษตรกร ส่วนยางก้อนถ้วยนั้นในพื้นที่จังหวัดตรังไม่ค่อยผลิตอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหาราคาในยางประเภทนี้ เนื่องจากสหกรณ์จะรับซื้อเฉพาะ น้ำยางสด ยางแผ่นดิบ ยางแผ่นดิบรมควันเท่านั้น
“สำหรับราคาประกันยางแผ่นดินที่ราคา 60 บาท/กก.ถือว่าเป็นราคาในเกณฑ์ที่เหมาะสม เพราะสิ่งที่ชาวสวนยางต้องการในขณะนี้ขอแค่ให้ราคายางในราคาประกันอย่าต่ำกว่า 60 บาทมิฉะนั้นเกษตรกรจะอยู่ลำบาก อย่างไรก็ตามนอกจากการดูแลเกษตรกรในระยะสั้นๆแล้ว อยากให้รัฐบาลวางมาตรการในการรักษาเสถียรภาพราคายางในระยาวควบคู่กันด้วย เช่น ส่งเสริมให้มีการใช้ยางภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างจริงจัง การส่งเสริมการนำน้ำยางไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เป็นต้นและพร้อมให้กำลังใจรัฐบาลในการเดินหน้าแก้ปัญหาราคายางในครั้งนี้”นายนิด กล่าว
ด้านนายสักการะ เที่ยงพึงธรรม ผู้จัดการสหกรณ์กองทุนสวนยางจันดี ตำบลจันดี อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า หากนโยบายดังกล่าวให้การช่วยเหลือทั้งเกษตรกรเจ้าของสวนและคนกรีด โดยหลักการถือเป็นมาตรการที่ดีแม้จะเป็นมาตรการระยะสั้นก็ตามซึ่งระยะยาวเชื่อมั่นว่ารัฐบาลคงมีมาตรการเพิ่มเติมตามมา
สหกรณ์กองทุนสวนยางจันฯ ปัจจุบันสหกรณ์รับซื้อน้ำยางสดจากสมาชิกอยู่ที่ 37 บาท/กกในขณะที่รัฐบาลประกันราคาให้ 57 บาทจะทำให้เกษตรมีรายได้เพิ่มจากโครงการ 20บาท/กก. ส่วนราคายางแผ่นดิบรับซื้ออยู่ที่ 39 บาท/กก.เกษตรกรจะมีรายได้เพิ่ม 21 บาท/กก.
อย่างไรก็ตามเพื่อให้โครงการมีประสิทธิภาพมากขึ้น อยากให้กระทรวงเกษตรฯและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์โครงการโดยเฉพาะรายละเอียดเกี่ยวกับกฏกติกาเงื่อนไขให้เกษตรกรเข้าใจให้มากขึ้น เพราะขณะนี้ยังมีเกษตรกรจำนวนมากที่ขาดข้อมูลในการเข้าร่วมโครงการ
ในขณะที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า เพื่อให้มาตรการดังกล่าวเกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ กระทรวงเกษตรฯ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมากำกับดูแล 4 คณะคือ 1. คณะกรรมการบริหารโครงการฯ 2. คณะทำงานกำหนดราคากลางอ้างอิง 3.คณะกรรมการบริหารโครงการฯ ระดับจังหวัด และ4.คณะทำงานระดับตำบล นอกจากนี้ในส่วนของมาตรการช่วยเหลือยาว ตนจะเร่งขับเคลื่อนมาตรการด้านอื่นๆคู่ขนานกันไป อาทิ การเพิ่มการใช้ยางภายในประเทศ การลดพื้นที่ปลูกยาง ตลอดจนการสร้างให้ไทยเป็นตลาดกลางยางพาราของโลกเพื่อป้องกันการบิดเบือนราคาจากตลาดซื้อขายยางล่วงหน้าในต่างประเทศ
สำหรับ โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางพารา ระยะที่ 1 กระทรวงเกษตรฯ กำหนดระยะเวลาดำเนินงานตั้งแต่เดือน ต.ค. 2562 – ก.ย. 2563 กำหนดราคายางที่ประกันรายได้ ประกอบด้วย ยางแผ่นดิบคุณภาพดี 60 บาท/กิโลกรัม น้ำยางสด (DRC 100%) 57.00 บาท/กิโลกรัม ยางก้อนถ้วย (DRC 100%) 50.00 บาท/กิโลกรัม โดยกำหนดปริมาณผลผลิตยางที่จะประกันรายได้เป็นยางแห้ง 20 กิโลกรัม/ไร่/เดือน
โดยครม.ได้อนุมัติจ่ายค่าชดเชยส่วนต่างจากการขายยางเมื่อเทียบกับราคาในโครงการประกันรายได้เป็น 3 กรณี ดังนี้ รายละไม่เกิน 25 ไร่จะใช้งบประมาณ 26,627,343,816.59 บาท รายละไม่เกิน 20 ไร่จะใช้งบประมาณ 24,928,133,299.41 บาทและรายละไม่เกิน 15 ไร่จะใช้งบประมาณ 22,280,417,136.65 บาท ล่าสุดมีเกษตรกรชาวสวนยางที่เข้าร่วมโครงการขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) แล้วเป็นพื้นที่ 17,201,390.77 ไร่ เกษตรกร 1,412,017 รายและคนกรีด 299,235 ราย